พระธรรมเทศนา
หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
เรื่อง "อุบายวิธีทำลายฐานกิเลส"
๑ กันยายน ๒๕๒๖
          บางทีก็นึกอยากจะคุยธรรมะ แต่เมื่อมานึกถึงเสียงมันก็ไปไม่ไหว คุยได้สองสามคำก็ต้องหยุดหายใจ ถ้าคุยยาวๆมันก็ไปไม่ได้ ลมมันไม่พอ และก็ คอหอยไม่ดี และก็คิดว่าถ้าปกติคอหอยดีเรียบร้อยละก็จะได้คุย แต่ยังไงก็ขอให้ตั้งใจเถอะ เราก็ฟังกันมานานเหลือเกินแล้ว ปฏิปทาข้อปฏิบัติอันที่จะ เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์.. เป็นอุบายวิธีทำลายฐานกิเลส.. พวกเราก็เข้าใจกันดี จุดมุ่งหมายของเราก็รู้กันอยู่แล้ว ก็มุ่งทำลายฐานกิเลส หรือตัวภพของ จิต ฐานกิเลสก็เล่าให้ฟังแล้วว่าอยู่ที่ไหน ถ้าพวกเราไม่พะวงในเรื่องธรรมะอยู่ที่ตำราหรืออยู่ที่ตัวเรา หรือเป็นสิ่งวิเศษบินมาจากฟากฟ้าละก็คงจะมอง ออก ฐานของกิเลสภายในมี ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตัวสำคัญก็มีอยู่ ๖ อย่าง ฐานใหญ่ๆ ของเค้าส่วนคู่ของฐานที่เกิดขึ้น ตามันก็คู่กับรูป สิ่งที่เห็น ด้วยตา หูมันก็คู่กับเสียง จมูกมันก็คู่กับกลิ่น ลิ้นมันก็คู่กับรส กายมันก็คู่กับสัมผัส ใจมันก็คู่กับอารมณ์ มันก็เป็นคู่ ภายนอกมีอยู่ ๖ อย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ หลอกกันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ ในเมื่อเราเข้าใจธรรมะเป้นเรื่องของบุคคล เป็นเรื่องของตัวเราหรือเป็นเรื่องของความคิดไปติดต่อสิ่งกระ ทบ ถ้าเราเข้าใจถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงแล้ว เราก็คงจะไม่ไปหลงตำรา เราก็คงดูธรรมะของจริงที่มันอยู่ในตัวเรา ..ตาเห็นรูปเป็นยังไงล่ะ.. ถ้ารูปสิ่งที่พอใจก็อยากได้ มันก็มีแค่นั้น มันอยากได้ ความอยากได้เป็นกิเลส ถ้าเราอยากได้มันไม่ได้มันก็เป็นทุกข์ หรือในเมื่อเราได้มันมาแล้ว สิ่งที่เรา รักเราก็ต้องพิถีพิถัน คือต้องรักษาให้มันเป็นอยู่ มีอยู่ คงอยู่ มันก็เป็นทุกข์ ไอ้สิ่งที่มันตามมามันก็คงไม่เกินทุกข์ ก็คือทุกข์เอง และสิ่งที่เราเห็นนั้น มัน คืออะไร ทำไมจงไปหลง เราพยายามตามคิดไปเรื่อยๆ สิ่งที่หลงนั้นน่ะเป็นวัตถุหรือบุคคล ถ้ามันหลงเป็นบุคคลมันหลงว่าไง .. หลงว่าสวย สวยจริง หรือ.. อันนี้คืออะไรกันแน่ อันนี้มันคือธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์เหล่านี้เป็นไปอยู่ได้โดยอาหาร อาหารอันที่มาหล่อเลี้ยงคืออะไร ไล่ไป มองให้ดีๆในเมื่อเรามอง ให้ดีๆพิจารณาแล้ว สิ่งที่มาหล่อเลี้ยงเขาก็ล้วนแต่เป็นของสกปรก ก้ได้แก่พวกหมู เห็ด เป็ด ไก่ เราก็ย่อมรู้ดี สภาพของความเป็นจริงของเขาแล้วเป็น สิ่งสกปรก แต่แกงออกมาใหม่ๆล่ะก็หอมน่ะซี น่าอยาก น่าฉัน แต่ว่าสักประเดี๋ยวพอได้อายุละซิเค้า จะเหม็นบูด เหม็นเปรี้ยว เหม็นเน่า พอมันลงคำว่า.. เหม็นแล้วนี่ เอาได้เลย ..สภาพความเป็นจริง...ถึงเค้าไม่ได้ไปอยู่ในท้องหรอก เค้าอยูในภาชนะ เค้าก็ต้องแปรสภาพ คือความจริงของเขามันเป็นอย่าง นี้....

          ฉะนั้น เราเอาเข้าหล่อเลี้ยง สิ่งนั้นก็คือของสิ่งนั้น ใรเมื่อเรามาวิเคราะห์แล้วสิ่งที่หลงนั้นเป็นของสะอาดหมดจดจริงรึ... หรือเป็นสิ่งสกปรก ...เรา ก็ต้องตามใจของเรา หรือเราหลงตรงไหนมัน อะไรมันดีก็ไล่มันไปเลย เอาจนกระทั่งจิตของเราจำนน ไล่เข้าไปเถอะ มันหลงเรื่องอะไรไล่เข้าไปที่ฐาน จนกระทั่งเค้ายอมรับว่า โอ..สภาพอันนี้เป็นสภาพที่ไม่สวย ไม่งาม เป็นสภาพที่ต้องแตกต้องดับ เป็นเพียงแต่ธาตุประชุมกันอยู่ชั่วคราวเดี๋ยวก็สลาย ไปแล้ว.. ก็เหมือนเราไปรักดินรักก้อนดิน รัธาตุ รักขันธ์ มันไม่มีความหมายอะไรนี่ ในเมื่อใจของเรายอมรับ เข้าใจตามสภาพของความเป็นจริง ความ พะวง ความเป็นกังวลในสิ่งนั้นมันก็หมดไป มันหมด..ที่เราจะเป็นทุกข์ เพราะจะบังเกิดผลเสีย เราเป็นทุกข์เพราะความกระวนกระวาย มันจะหมดไปเอง มันไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นแล้ว เพราะเราเข้าใจสภาพของความเป็นจริงในสิ่งเหล่านั้น ตลอดวัตถุอื่นๆ ที่เราต้องการก็เช่นกัน มันก็เหมือนกันหมด อันนี้ หมายความว่า สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ที่ไม่ต้องการมันก็เป็นทุกข์ สิ่งที่เราปรารถนามันมาให้เราเห็น เราได้เห็นมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน คือว่า แล้วมันก็เป็นทุกข์นั่นเอง แล้วสิ่งนั่นทำไมล่ะ เราถึงไปชอบมัน เพราะอะไร? เป็นวัตถุ เป็นบุคคล วัตถุก็ดี บุคคลก็ดี ที่เราไม่ชอบเป็นเพราะอะไร ก็ไล่ มันเข้าไป ให้มันยอมจำนน คือสภาพอันนั้นกับอันที่เรารักมันก็เหมือนกันนั่นเอง อะไรเหล่านี้ อันนี้เราก็ไล่มัน ไล่เบี้ยมันเข้าไปจนใจของเราจำนน อันนี้...

          หูก็เช่นกัน ในเมื่อหูได้ยินเสียง เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงที่น่ารัก เสียงที่น่าปรารถนาเราก็ดีอกดีใจ กระโดดโลดโผน ความดีใจนั้นก้เป็นกิเลส เพราะดี ใจจะไปคู่กับเสียใจ ถ้าเราเกิดรักสิ่งนี้ ไอ้สิ่งที่ตรงกันข้ามก็เกลียดชัง คือเสียงที่ไม่ไพเราะ เปรียบเสมือนอย่างนี้... เค้าชมเราเราก็เกิดรัก พอใจดีใจกับ คำชม แสดงความเป็นมิตรกับคนที่ชม แต่คนที่เค้าตำหนิยกโทษ เราก็โกรธเกลียดมัน ตั้งตัวเป็นศัตรูกับมัน ไม่อยากมองหน้ามัน ไม่อยากเห็นหน้ามัน มันก็มีแค่นั้น...ในเมื่อเราได้ยินมันก็มีอยู่ว่า ชัง รัก ดีใจ เสียใจ กับเฉยๆ เท่านั้น มันก็แค่นั้น เราต้องไล่เข้าไปให้มันถึงฐาน เขาด่าเราเรามันเป็นยังไง เค้า ด่าเราว่าอย่างไรล่ะ เค้าว่าเราชั่ว เราชั่วไหม ถ้ามันไม่ชั่ว เขาว่าเราชั่ว มันก็ไม่ได้ชั่วอย่างที่เขาว่า...

          หรือมันชั่ว ไล่มันเข้าไป...พระพุทธเจ้าเขาติหรือเปล่า ท่านวิเศษกว่าเรามากมาย ทำไมเขาถึงติได้... เราก็ไล่เปรียบเทียบกันไปเรื่อยๆ คิดว่าจะจำนน เอง ก็มันมีแค่นั้น... ทั้งสิ่งที่น่ารัก ไม่น่ารัก ก็ไล่มันเข้าไปแค่นั้น อันนี้หมายถึงเสียงกับหู...

          กลิ่นเค้าคู่กับจมูกก็เหมือนกัน ถ้าได้กลิ่นหอมๆล่ะก็แหม อยากจะหา แต่ถ้าตรงข้ามก็เกลียด มันก็แค่นั้นแหละ มันก็แค่นั้น แล้วก็วิเคราะห์.. อันนี้ได้ ความจริงว่า สภาพนี้มันคืออะไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ให้มันได้ความเช่นกัน

          ลิ้นก็เหมือนกัน อาหารอันโอชาก็อยากฉัน วันนี้ไม่มีก็ถามหา หรืออยากหามาไว้ อันที่ไม่เอร็ดอร่อยก็ไม่ปรารถนาไม่เอา ไม่ต้องการมันก็อยู่แค่นั้น ต้องพิจารณาดูให้ดีๆ ว่าเราจะฉันเพื่ออะไร ฉันอยู่เพื่อรอด ฉันเพื่อความเป็นอยู่ ฉันเพื่อให้มีกำลังวังชาเพื่อจะปฏิบัติกิจของพระศาสนา กอบโกยในสิ่ง ที่เป็นบุญเป็นกุศล ในสิ่งที่เป็นบารมี เราต้องวิเคราะห์ให้มันถูก เจตนาตัวนี้ตัวสำคัญเจตนาผิดก็เป็นกิเลส เจตนาถูกก็ไม่เป็น การฉันมันก็อยู่ที่เจตนา ฉันอันเดียวกันนั่นแหละ แต่หากในเมื่อผู้มีเจตนาผิดมันก็เป็นกิเลส ผู้ที่เจตนาที่ถูกต้องก็ไม่เป็น... ถ้าผู้ต้องการฉันเพื่อจะบำรุงผิวพรรณ ฉันด้วยความ หลงรสชาติ ไม่ได้วิเคราะห็ตามสภาพความเป็นจริงว่าสิ่งนี้แสลงต่อธาตุขันธ์เราไหม ปกติเคยฉันแล้วเป็นยังไง ลุอำนาจกิเลสเราไปดำเนินมันผิด ต้อง นึกถึงคำว่า ...อาหาระสัปปายะ... ฉันเกิดแล้วเกิดความสบาย อาหารที่เราฉันแล้วเกิดความสบาย สบายทั้งเข้าสบายทั้งออก สบายมันต้องมองหลายด้าน หลายฐาน จนกระทั่งภาวนาไม่โงกง่วง ไม่ซึม อาหารไม่ทับ ฉันแล้วปกติธรรมดา มันต้องมองหลายมุมกันเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องดำเนินไปตามความ สบาย ตามหลักที่ว่า อาหาระสัปปายะ นี่มันเป็นอย่างนั้น...

          โผฏฐัพพะ ตามสภาพของเขานั่นแหละ เหมือนกับให้มันเข้าใจจนกระทั่งอารมณ์ สิ่งทั้งหลายดังกล่าวมาทั้ง ๕ หมายความว่า ภายใน ๕ ภายนอก ๕ มันก็ ๑๐ ในเมื่อผ่านไปแล้วคิดถึงมัน เกิดความรู้สึกอย่างไรบ้าง ทางด้านจิตใจของเรามันเป็นอย่างไรบ้าง ดีใจ เสียใจ ตามเหตุการณ์ไหม หรือปัจจุบัน เหตุที่กำลังแสดงอยู่เป็นยังไง มันรู้สึกดีใจ มันรู้สึกเสียใจ กับสิ่งนั้นไหม เราก็วิเคราะห์ หากเมื่อเราสร้างอำนาจส่วนนี้สมบูรณ์ขึ้นมาสามารถประคองจิต ของเราให้อยู่ในอำนาจส่วนนั้นแล้ว รู้สึกจะไม่มีปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง เราวิเคาระห์ตามสภาพความเป็นจริง จิตจะยอมรับนี่เอง มันบอกไม่ถูกนะ มันบอก ไม่ถูกว่าจิตของเรามันจะดิ่งลงอย่างไรกันบ้าง เราจะสบายขนาดไหนทางด้านจิตใจของเรา สบายที่สุด ขอให้ใจของเราสบายเป็นสำคัญ ทุกอย่างเราจะ สบายไม่กังวล ไม่วุ่นวาย ไม่เป็นทุกข์ต่อสิ่งทั้งปวง มีแต่ความวางเฉยด้วยความรู้เท่าหมด ไม่กระวนกระวาย ใจไม่ใฝ่หา ไม่อยากได้ ไม่ดิ้นรนปกติธรรม ดาๆ สิ่งที่ได้ที่ถึงก็ถือว่าเป็นของที่ต้องผ่านไปชั่วคราว เดี๋ยวก็ต้องสลาย มันอยู่แค่นั้นแหละ อันนี้ขอให้เราตั้งใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การสร้างส่วน อำนาจส่วนบังคับให้สมบูรณ์ขึ้น...เดินจงกรม นั่งสมาธิ นอนสมาธิ ยืนสมาธิ... ให้รวบรวมกำลังอย่างที่เรากำหนดอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งของเราอยู่ตลอด เวลา เพื่อเป็นการปฏิวัติสติกับจิตไม่ให้วิ่งไปต่ออารมณ์สัญญาภายนอกให้รับรู้อยู่ที่จุด ไอ้ตัวบังคับให้รับรู้อยู่ที่จุดนั้น ...คือตัวตปธรรม... ที่เราสร้าง ขึ้นมา ถ้าสมบูรณ์ดีแล้วก็สามารถบังคับได้เต็มที่ ถ้าบังคับได้เต็มที่แล้ว การโอปนยิกธรรม น้อมพิจารณาสภาพความเป็นจริงเหล่านี้ไม่ใช่ของยากเป็น ของง่าย แต่หากเมื่ออำนาจส่วนบังคับไม่พอ เรามาพิจารณาจะกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านเปล่าๆไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะจิตไม่ยอมรับ ก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน

          เพราะฉะนั้น ขอให้รับตั้งใจบริกรรมภาวนาหนักเข้า กำหนดเข้า กำหนดเข้าไป ในเมื่อมันเผลอสติ ก็กำหนดเข้ามาหาจิตอย่าไปโมโห อย่าไปกระแทก แดกดัน กำหนดเข้ามาดีๆ ดำเนินกันไป เวลาเดินจงกรมก็กำหนดที่เท้าเหยียบ เท้าเหยียบพื้น พุทโธ พุทโธไปเรื่อยๆ เอามันไปเรื่อยๆจนกระทั่งเกิดความ สมบูรณ์ดีแล้ว สติกับจิตไม่หนีหน้าตัวอำนาจส่วนบังคับไปได้ แล้วมันสบาย เราเรียกมาใช้ได้ทุกเมื่อ เรียกมาใช้ได้ทุกการเขาจะเกิดความสมัคคีกัน รวม ตัวกันเลย เราจะลุก จะเหิน จะเดิน จะนั่ง แล้วแต่เขาจะต้องนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง สันคติ การสืบเนื่องเป็นอย่างไร เป็นชวนะ ชวนะมันเป็นอย่างไร ถ้าจะมองคำว่าชวนะมันก็เหมือนเชาว์ แต่มันไว ไวกว่าเชาว์ไปอีก เรียกว่าชวนะมันไวจนมองแพร็บเดียว ราไม่ต้องไปคิดว่าเราคือใคร เราเป็รลูกพระตถา คต เรเป็นแม่ชี เราเป็นพระ เราเป็นเณร เราไม่ต้องไปนั่วคิดมาก มันจะนึกถึงกันหมด แล้วอาการลอกแลกไม่มี สุขุมหนักแน่น พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ปัญญาควบคู่กันไปหมด สามารถบังถับให้เป็นไปตามรูปของธรรมแสดงออกทุกอย่างสมบูรณ์ สุขุมหนักแน่นไม่วอกแวก อันนี้เป็นคุณสมบัติอันแท้จริง เป็นผลที่เราได้และจิตใจก็เหมือนกัน ก็ไม่มีโอกาสที่จะไปต่ออารมณ์สัญญาอีลุ่ยฉุยฉแกของเค้าไม่มี อำนาจส่วนบังคับเขาไว้ ป้องกันไว้อยู่ตลอด อันนี้ คืออะไร เค้ายอมรู้ตามสภาพความเป็นจริงนั้นๆ เสมือนอย่างที่ว่า เราเคยเป็นเด็กเล่นอะไร ของเล่นต่างๆ เวลานี้เราเล่นอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่าง ที่เราผ่านไวของเด็กมา ตั้งแต่เด็กอ่อน เป็นโตหน่อย และเด็กโตจนกระทั่งหนุ่ม อะไรเหล่านี้เป็นต้น การละเล่นต่างๆนั้น จะทำอีกไม่ได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ ทำไม่ได้ เป็นไปได้ฉันใด สิ่งที่เราปรารถนา เราดิ้นรนบ้าบอคอแตก ก่อให้เกิดทุกข์เช่นนั้น ก็ไม่มีโอกาสที่เราจะเป็นไปได้อีกแล้ว ...เพราะความไวของสติ ความไวของปัญญา... สติสัมปชัญญะ ทุกอย่างมันพร้อม เกิดความสามัคคีกันขึ้น สามารถทำให้เรามองได้ชัด.. อันนี้คืออันนี้.. ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ตลอดเขาด่าเรา เขาชมเรา มันเกิดความวูบวาบเดี๋ยวก็สงบ มันไม่มีอะไรที่จะไปต่อ...

          เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราผู้ปฏิบัติตั้งใจ.. ตั้งใจกันให้ดี... เอากันให้ดี เอาเถอะเชื่อเหลือเกินว่าเราดำเนินตามนโยบายที่อาจารย์ว่ามานี้ พวกเราจะ ได้รับผลที่พึงพอใจแน่นอน ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจปฏิบัติกันก็แล้วกัน

....เอาล่ะทีนี้เล่าสู่กันฟังเพียงแค่นี้ แล้วพวกเราจะได้ไปภาวนากัน เอาละ เอวํ...




















































































Khaosukim
Copy (c) Right 2000-2002
กลับหน้าแรก พัฒนาโดย นายทวีศักดิ์ รัตนคม   
Designed by Taweesak Rattanakom   
contact me at
[email protected]   
MSN Messenger Service at [email protected]   
.