พระธรรมเทศนา ขันติ บารมี

ขันติ บารมี

อาตมาก็วิพากวิจารณ์ นี้บัดแล้วเกิดได้ความชัดขึ้นมาอย่างขาวสะอาดว่า เช่น ตัวอย่างพวกเรา การทำบุญที่พวกเราทำกันนี้ บางคู่บางคนทำตามหมู่ ตามคณะพรรคพวกของตัวเองทำก็ทำ ๆ ตามกันไปทำด้วยความโง่ ๆ ยังงั้นแหละ ไม่ได้เข้าใจว่าการทำบุญสิ่งตอบแทนคืออะไร บุญกุศลนั้นคืออะไร ในเมื่อหากเราทำไปแล้ว สิ่งที่เป็นอานิสงส์ตอนแทนปัจจุบันคืออะไร

ในเมื่อหากเราตาย คือว่าร่างกายแตกดับ ในเมื่อดวงวิญญาณออกจากร่างไป อานิสงส์คือความดีจะเป็นสิ่งอนุคามินีติดตามเราไปจริงไหม ความเข้าใจความสว่างไม่มีเรียกว่าทำมืด ๆ อันนี้เรียกว่าทำบุญเฉย ๆ เพราะไม่มีความสะอาดในจิต เมื่อหากผู้ทำบุญอย่างนี้ คติไม่แน่ บางทีหากเขาระลึกถึงบุญคุณ ที่เขาทำได้ ก็อาจจะเป็นกรรมนิมิต เข้าสู่นิมิตอาจจะไปสู่ลัคคาลัยเก่าแล้วคือสวรรค์จุติเคลื่อนจากสวรรค์ก็จะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งสมบูรณ์

แต่ว่านิสัยไม่มีเนื่องจากความสว่างในสมองไม่มี นิสัยไม่มีก็มืออยู่แค่นั้น เพียงแค่บุญที่ตัวเองทำแบบหลงอันนั้นแหละเป็นเหตุให้ไปเกิดอย่างนั้น หรือประสบความร่ำรวยยังงั้น นี้เป็นอย่างนี้ ทีนี้บางคู่บางคนไม่เป็นอย่างนั้น ผู้ที่มีนิสัยนะไม่เป็นอย่างนั้น คือการทำบุญนี้ ไม่มุ่งทำอย่างนั้น คือท่านบอกว่าเลยจากบุญขึ้นไปเป็นกุศล นี้พูดถึงผู้ทำกุศลเป็นอย่างนี้ ท่านบอกว่าบุคคลผู้ใดทำความดีนี้มุ่งเพื่อต้องการจะเอาชัยชนะความชั่วของตัวเองได้แก่ กิเลสตัณหาดังกล่าวนั้นแหละ คือการทำบุญนี้ไม่มุ่งทำอย่างนั้น คือท่านบอกว่าเลยจากบุญขึ้นไปเป็นกุศล

นี้พูดถึงผู้ทำกุศลเป็นอย่างนี้ ท่านบอกว่า บุคคลผู้ใดทำความดีนี้มุ่งเพื่อต้องการเอาชัยชนะความชั่วของตัวเองได้แก่ กิเลสตัณหาดังกล่าวนั้นแหละ เมื่อบุคคลผู้มุ่งอย่างนั้น แล้วก็ทำความดีนี้ลงไป ซึ่งในเจตนามีอยู่เช่นการบริจาคทานจะเอาชัยชนะความขี้ตระหนี่ตัวเองการรักษาศีลจะตัดสันดานความลามกของจิตใจที่จะชอบในสิ่งนั้น ผู้ที่ตั้งสัตยาธิษฐาน อธิฐานขึ้นซึ่งเห็นว่านิสัยสันดานของตัวเองรุนแรงไปอย่างนั้น อธิฐานทับถมโหมมันเข้าผู้มีจิตเจตนาอย่างนี้เรียกว่าทำความดีเพื่อเอาชัยชนะความชั่วของตัวเอง ผู้ที่ทำอย่างนี้เรียกว่าผู้ทำกุศลไม่ใช่ทำบุญแล้ว เรียกว่าผู้ทำกุศล

ผู้ที่มีอุบายวิธีทำความดีเอาชนะความชั่วของตัวเองดังกล่าว ผู้นี้มีความแน่นอน หากผู้นี้จุติเคลื่อนจากชาติไปสู่ลัคคาลัย หรือไปสู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เมื่อกลับมาเป็นมนุษย์ถึงแม้จะเกิดในตระกูลที่รวยก็ตาม จะเกิดในตระกูลที่จนก็ตาม หรือหากมีกรรมอีกชนิดหนึ่งบันดาลให้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ในเรื่องนิสัยของความดีสมัครในการทำความดีย่อมมีนิสัยเจือเนื่องอยู่ ย่อมจะประพฤติความดีนั้นให้ปรากฏอยู่

ดุจในที่อาตมาอธิบายเหตุผลให้ฟังว่า ยังมีสัตว์จำพวกสามารถรักษาศีลได้ เช่นตัวอย่างบรมพงโพธิสัตว์เจ้า ในครั้งสมัยพระพุทธเจ้าของเราเสวยพระชาติเป็นนกบ้าง หรือเป็นสัตว์บางประเภทมีศีลก็ยังมี หรืออาตมาได้เห็นในสายตาของอาตมาชัด ๆ อย่างที่อาตมาเคยเล่าสู่ฟัง หมาดำใหญ่ของอาจารย์แนม ของโยมแนมของโยมกระสัย นามสกุลก่างทอง บ้านนาหัวช้าง หมู่ ๔ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณนิคม จังหวัดสกลนครนี้เอง ไม่ใช่ที่ไหน

ขนาดเป็นหมาแท้ ๆ ถึงวันพระเนี่ย วัน ๘ ค่ำ วิ่งไปวัดแล้วข้าวก็ไม่กินทั้งวันนอน หูไม่กระดิก ตาไม่ลืมเฉย พอตอนพระเขาว่าศีลกันเสร็จ พอได้ยินว่าศีลกันเสร็จก็ลุกขึ้นสะบัดขนพรึบ ๆ แล้วก็ลงไปรับข้าวก้นบาตรเสร็จวิ่งไปบ้าน นั่นแหละเรียกว่าผู้ทำกุศล ถึงแม้จะมาเกิดเป็นหมา ก็ยังอุตส่าห์พยายามสร้างสมความดี คือพยายามทำดีได้ อยู่นี้เรียกว่าผู้ที่ทำให้เป็นนิสัย คือนิสัย หมายความว่าเกลียดความชั่ว ต้องการความดี ย่อมไม่ทำตัวของตัวเองให้เป็นผู้หลงระเริงเพลิดเพลินไปในทางอื่นจนลืมความดีของตัวเอง ไม่ใช่อย่างนั้น

ผู้ที่ทำกุศลแล้วย่อมเป็นอย่างนี้ผิดจากท่านผู้ทำบุญเฉย ๆ อย่างท่านผู้ทำบุญเฉย ๆ นะปรารถนาเป็นอินทร์เป็นพรหมราช ปรารถนาเป็นใหญ่เป็นโตในโลก โดยไม่มุ่งทำลายอาสวะกิเลส หรือเห็นเขาทำก็สักแต่ว่าทำตาม ๆ เขาพรรคพวกเขาชวนก็เอาตามเขามืด ๆ ทำอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นหากในเมื่อเขาจะตายเขานึกถึงความดีของเขาได้ ก็เป็นกรรมนิมิตได้ดีอยู่ แต่ว่ามันจะนำพาไปสู่สวรรค์ได้จริงอยู่และจะมาเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งสมบูรณ์ได้อยู่

แต่หาได้เป็นนิสัยปัจจัยซึ่งมองสอดส่องเข้าไปอีกว่า เราเกิดมาความดีทั้งหมดซึ่งเป็นสิ่งอนุคามินีติดตามอำนวยผลให้แก่เราถึงขนาดนี้ เราไม่ควรประมาทความดีเพราะเราได้ประสบความดีดังปรากฏอย่างนี้ เนื่องจากความดีของเรากระทำไว้แล้ว เราควรทำความดีของเราต่อ เราไม่ควรบริโภคของเก่าอยู่เพียงแค่นี้ เราควรสะสมไว้ ดุจนายชาวนาที่ทำนาไม่เพียงเฉพาะปีนี้ทำนา แล้วไม่ยอมทำอีกต่อไป กินข้าวเก่าตลอดไปจนหมดถึงจะทำไม่ใช้อย่างนั้น

คือเมื่ออาหารเรามีอยู่แล้ว เราก็ทำสะสมต่ออะไรในทำนองนี้ เพราะนั้นเราก็มองเห็นได้ชัดอยู่แล้ว สองอันที่ว่าผู้ที่ทำบุญกับผู้ที่ทำกุศลผิดกันอย่างนี้ นี้เป็นอย่างนี้ เพราะนั้นผู้ที่จะเข้ามาทำบุญในวัด เราก็มองเห็นได้ชัดว่าทำไม ถึงถือก๊กถือเหล่า ถือหมู่ ถือคณะ คือหมู่นั้นทำเราไม่ร่วมหรอก ไม่เอาหรอก ไม่ใช่หมู่ของเรา หรือทำแล้วไม่ดีหรือเราจะพูดมันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เมื่อหากมาทำเราอยากมีสิทธิ์มีอำนาจนำคณะของเราเข้าไปเองขับไล่พวกนั้นออกเสีย การกระทำอย่างนี้ไม่ใช่ทำความดีเป็นผู้มุ่งสะสมความชั่วให้มากมูล เมื่อหากแสดงความชั่วอยู่ในวัด ความชั่วย่อมจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดอาจจะหลายเท่าทีเดียวเป็นอย่างนั้น เพราะนั้นเมื่อหากจะหันหัวเข้ามาสู่วัด ประพฤติปฏิบัติให้เข้าใจว่าเรามาเพื่อชำระความชั่วของตัวเอง มาดัดสันดานนิสัยชั่ว ๆ ของตัวเองซึ่งมันชอบ

เราเข้ามาสู่วัด เราเป็นผู้เกี่ยวข้องกับวัด เมื่อทำความชั่วขึ้นหรือก็เท่ากับเราสร้างความมัวหมองให้ทางวัดให้ครูบาอาจารย์เราเองน่าละอายเหลือเกินอะไรเหล่านี้ ซึ่งเป็นอุบายวิธีชำระหรือดัดสันดานที่มันชั่ว ๆ ของเราเอง ที่เรามีจิตจำนงประสงค์เป็นอันดีอย่างนี้ เรียกว่าผู้เข้ามาเพื่อความชำระ เรียกว่าผู้เข้าประกอบกุศล ไม่ใช่เพียงแค่ทำบุญอย่างเดียว ผู้อย่างนี้แหละเป็นผู้ที่จะก้าวเข้าไปสู่อมตะมหานฤพาน เป็นปากทางให้ไต่ก้าวไปสู่นิพพานโดยตรง นี้มีอย่างนี้

นี้ทัศนะของอาตมา แต่อาตมาว่าบัณฑิตเจ้าทั้งหลายก็คงเห็นอย่างอาตมานี้เอง แต่สำหรับคุณล้ำจะว่ายังไงไม่ทราบ นี่แหละที่พวกเราดำเนินนี้ ขอให้พวกเรามุ่งกุศลนะ อย่ามุ่งเพียงทำบุญอย่างเดียว มุ่งเพียงทำบุญหมายความว่าเมื่อทำบุญลงไปปรารถนาเป็นพระอินทร์ พระพรหรมยมราช ปรารถนาอยู่ดีกินดี ปรารถนารูปสวยรวยทรัพย์ ปรารถนามี ยศฐาบรรดาศักดิ์เหนือมนุษย์ทั้งหลาย ความปรารถนาอันนี้อยู่ในขอบเขตของโลกเพราะไม่มุ่งเพื่อกำจัดอาสวะกิเลสเรียกว่าเป็นผู้ปรารถนาเพื่อสะสม สะสมกิเลสอันนี้เขาเรียกว่าทำบุญ เพียงแค่ทำบุญ

ถึงแม้จะได้ความสุขก็เพราะปีติเท่านั้นเอง อันนี้เป็นเพียงบุญเท่านั้น เมื่อเราทำความดีมุ่งเพื่อจะดัดสันดานตัวเอง หรือจะเอาชัยชนะความชั่วตัวเองหรือกำจัดอาสวะกิเลสตัณหา โดยจิตประสงค์มีดิ่งแน่วแน่เขาเรียกว่าผู้ประกอบกุศล คำที่ว่ากุศล ๆ นี้แปลว่าฉลาด บุญ ๆ นี้แปลว่าความสุข ความสุขอันที่ว่าบุญนี้มาจากปีติเท่านั้นเอง แต่คำที่ว่ากุศล ๆ นี้มีศัพท์ให้เป็นที่เรียกว่ากุศลจิตเป็นผู้มีจิตอันฉลาด คำที่ว่าฉลาดนี้เป็นผู้เอาชัยชนะตัวเองนั้นเอง คือเอาชัยชนะความชั่วที่มันแสดงอยู่ในจิต จึงเรียกว่าผู้ฉลาด

เผื่อผู้โง่ละตกอยู่ใต้อำนาจของความรู้สึกฝ่ายต่ำที่ลากคอตัวเองไปได้ เขาเรียกว่าโง่ ถ้าเราสามารถปฏิวัติเอาความรู้สึกชั่ว ๆ ออกเสีย พยายามผลักดันความรู้สึกของเราชอบในสิ่งที่บริสุทธิ์ อันนั้นเรียกว่าว่าผู้ฉลาด กำจัดความชั่วได้แล้วก็ยังผลักดันตัวเองเข้าไปในทางที่ดี นี่มันเป็นอย่างนี้เรียกว่าผู้ฉลาด นี้หมายถึงผู้ฉลาดในทางศาสนา ไม่ใช่ทางโลกีย์ที่เรียกว่าธรรมนิยมไม่ใช่โลกนิยม มันผิดกันอย่างนี้

กุศลยังไงก็บุญกับกุศลไม่ใช่อันเดียวกันไม่ใช่ หรือบุญกุศลมันจะอันเดียวกันยังไง บุญก็อย่างหนึ่ง กุศลก็อย่างหนึ่ง อาตมากำหนดดูโดยตรงเลยนี้ ไม่ต้องไปอ้างตำหรับตำราหละ อาตมาพยายามที่สุดตนเองเห็นชัดเหลือเกิน อาตมาเห็นบางคนรวย ๆ เหมือนเทพเจ้าบ้านอาศัยเหมือนปราสาทสถานที่อาศัยของเทพเจ้านะ แม้ดูแล้วน่าดูแต่เจ้าตัวนะทำไมชั่งไม่มีความเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา ชั่งไม่อยากทำความดีต่อ เห็นแล้วรู้สึกสังเวชสลดจิต ทำไมเขาจะบริโภคของเก่าอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

เมื่อหากทุนเท่ามันหมดแล้ว เขาจะเอาอะไรมาบริโภคกันหนอ แล้วมันกิเลสมีความรู้สึกมันคิดขึ้นมาอีก อือ..เผื่อว่าอาศัยความดีเป็นสิ่งอนุคามินีติดตาม อย่างที่เราปรากฏในสายตาชัด บ้านหลังนี้เหมือนกับที่ที่อยู่ของเทพเจ้า ความสุขของบรรดาพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้เหมือนเทพเจ้า แต่ทำไมแล้วเล่าความดีจึงบันดาลให้เพียงแค่นี้ ทำไมไม่นำพาความรู้สึกของพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ให้โน้มเอียงไปทางด้านศาสนา สะสมความดีเพิ่ม มันเกิดมีความรู้ตอนขึ้นมาเป็นคลื่น ๆ เป็นลำดับ

ขอให้เราดิ่งเข้าไปเถอะ สามารถมองเห็นได้ชัด อย่างพวกเราทำบุญปัจจุบันชัด ๆ อยู่นี้ เสมอกันเมื่อไรนี้บางคนทำตามหมู่ บางคนรักษาศีลก็รักษาตามหมู่เฉยนะนี่เป็นเพียงกิริยาอย่างทำตามหมู่เฉย ๆ โดยไม่มีความหมาย นี้ทำเป็นเพียงกิริยา รักษาศีลเป็นเพียงกิริยา นั่งสมาธิเป็นเพียงกิริยา อย่างพวกเราที่ทำมุ่งเพื่อเอาชัยชนะความชั่ว ถ้าไม่หลุดพ้นพิษทำเป็นนิสัยนะ ถ้าเราพิสูจน์ความจริงให้จริงให้จังมุ่งเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ มุ่งพิสูจน์ความจริง ๆ

อันนั้นทำเพื่อหลุดพ้นมี ๓ อันดับ อัน ๑ เป็นกิริยา อัน ๑ เป็นนิสัย อันความหลุดพ้นมันผิดกัน นี้เราทำบุญบริจาคแบบธรรมดามืด ๆ มน ๆ เท่ากันว่าทำบุญธรรมดาอันนี้ เมื่อหากว่าความดีอันนี้อำนวยให้ไปเกิดบทชั้นสวรรค์ได้อย่างนี้ เมื่อกลับลงมาเป็นมนุษย์ก็มาเกิดในตระกูลที่ดี ๆ อย่างนี้ ก็ไม่มีทางเลยที่จะนำพาให้จิตของเขาให้โน้มเอียงเข้ามาให้พอใจในการทำความดีอย่างนี้ไม่มีอยู่แค่นี้แหละ

ผลสุดท้ายดีไม่อาจจะหลงเสียอีก นึกว่าตัวเองเหมือนคน นึกว่าตนเองมีความสุขพอแล้วอะไรเหล่านี้ มันจะไปอย่างนั้นมากนะคนรวย ที่จะถอนตนจากความสุขที่ตนเองได้ประสบอยู่นั้น แม้จะเอาร้อยละคนหรือจะเอาพันละคนหรือจะเอาหมื่นอะไรก็ไม่ทราบ จึงจะถอนออกมาได้จริง ๆ นะอาตมาเห็นมามากจริง ๆ คุณล้ำ นี้มันจมหนักจริง ๆ ตัวนี้เป็นอย่างนี้ แต่แท้ที่จริงผู้ที่มีวาสนาจริง ๆ เขากล้า หมายความว่าเห็นมามากจริง ๆ คุณล้ำ นี้มันจมจริง ๆ ตัวนี้เป็นอย่างนี้ แต่แท้จริงผู้ที่มีวาสนาจริง ๆ เขากล้าหมายความความว่าเขากล้าเสียสละความสุขที่ตนเองนะ กำลังได้เสวยอยู่ในชาติปัจจุบัน ยินดีรับเอาทุกข์ที่ตนเองลงมือปฏิบัติเพื่อแสวงหาความดีอีก

ซึ่งความทุกข์นั้นจะปรากฏยินยอมรับโดยดี เพราะมามองเห็นความทุกข์ที่ตนเองได้รับเพียงปัจจุบันที่ตนเองลงมือปฏิบัติธรรมนี้ สู้กับความทุกข์ที่เราจะต้องได้รับในวัสฎสงสาร ซึ่งเราจะต้องเผชิญกับความทุกข์อันที่เราปล่อยให้ภพชาติยืดยาวอยู่นี้ ถ้ามาเทียบกันแล้วมันผิดกันบอกไม่ถูกกว่าต่อความทุกข์อันยืดยาวนี้ กล้าต่อสู้ความทุกข์อันสั้นที่เราจะต้องได้รับ

ซึ่งเราทำความปฏิวัติยุทธวิธีกับจิตใจอันนี้ ว่าเถอะนี้หมายถึงผู้ที่มีวาสนาบารมีก็เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีวาสนาบารมีก็ไม่หมด จะมาวัดอย่างนี้ พุทโธ่เอ๋ยจะมานั่งคู่แข้งคู่ขาตายแล้ว มองมาเห็นแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ไม่เห็นสุขไหนที่จะมีความสุขเอง นั้นมันเป็นอย่างนั้น นี้คนมีนิสัยวาสนาเข้ามามองเห็นแต่ความสุขความเยือกเย็น เข้ามาเป็นหมู่เป็นคณะผู้ปฏิบัติ มันซาบซึ้งตรึงใจมาเห็นพระภิกษุสงฆ์เจ้าสามเณร ผู้เป็นปฏิคาหก รับไทยทานของตัวเอง

ซึ่งท่านเอากำลังของเราที่เราให้ไปประกอบกรณียกิจอันสมควรพร้อมทั้งให้ธรรมะธัมโมแนะนำพวกเราผู้เป็นพุทธมามะกะชนบริษัทผู้ประพฤติปฏิบัติตามท่าน ท่านให้ธรรมะธัมโมโน้มดึง หรือว่าดึงดูดหรือถ้าว่าจะพูดอย่างหนึ่ง หาอุบายวิธีผลักดันจิตใจของพวกเราให้โน้มเข้าไปในทำนองครองธรรมอะไรทำนองนี้ ท่านทำอย่างนั้น

เราเป็นเข้ารู้ก็รู้สึกปลื้มใจเรานึกว่าเป็นบุญทั้งนั้น แต่พออกพอใจกันอยู่เสมอ เมื่อไรจะถึงวันพระหนอ เมื่อไรจะถึง ๘ ค่ำนับเสมอ พอถึงแล้วไม่มาไม่ได้ทำอะไรหงุดหงิดรำคาญทำอะไรไม่มีความสุข ต้องมาให้ได้ งั้นเรียกว่านิสัยมันดิ่งเข้ามาแล้ว นี้มันเป็นอย่างนี้ ถ้าคุณมองดี ๆ ถ้าคุณมองไม่ถึงไม่รู้นะสิ่งเหล่านี้ต้องมองให้ถึง

พระพุทธเจ้าสอนพุทธมามะกะชนบริษัทในครั้งสมัยก่อน ไม่ใช่พระองค์ไปเอาตำนานที่ไหนมาสอน ไม่ได้มีตำนานสมัยก่อน พระองค์เอาของจริง ๆ ที่เห็นประจักษ์ เสร็จแล้วพระองค์จับกระดาษอันนี้มองเบื้องหลังไป ก็เห็นชัด สิ่งที่พระองค์เห็นชัดพระองค์เอามาเล่าสู่พวกเราฟัง แต่พระองค์ต้องยกบุคคลมาก่อน สมมุติว่ามีใครแสดงอะไรนึกอย่างเป็นเหตุนี้ ซึ่งบรรดาพระสงฆ์หรือญาติโยมปรารถขึ้นอย่างนี้

พระองค์ก็ได้โอกาสดี พระองค์ก็แทรกคล้ายกันว่าเรื่องอันนี้มันเนื่องมาจากโน้น นี้เป็นเหตุให้พุทธมามะกะเข้าไปกราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคขอนิมนต์พระองค์เจ้าเล่าประวัติเดิมให้ฟัง พระองค์ก็เล่ามาเป็นอันดับเลยว่าเป็นมายังไง เกี่ยวข้องเป็นยังไง พระองค์ก็มาแยกแยะประเภทของบุญกับกุศลออกเป็นคนละส่วนกัน

สมมุติออกเป็นคนละฝักคนละฝ่ายกัน มันเป็นอย่างนั้น นี้มันมีอย่างนี้ ว่าง่าย ๆ สำหรับอาตมา อาตมาอยู่ปัจจุบันนี้อยู่อย่างมีความสุข แต่ความสุขของอาตมาเป็นส่วนเจตะสุขกับสุขละ อาตมาก็ว่ามีความความสุขเพราะว่าสิ่งที่ไม่ดีจิตของอาตมาไม่อยากเก็บเอามาถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นของประดับโลก ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จัดเป็นโลกไม่ได้ มันเป็นของประดับโลกคือความเข้าใจของเราที่เรามองเห็นชัดอยู่มันเป็นเหตุให้เราไปอมเอาอารมณ์ชนิดหนึ่ง เข้ามาเศร้าหมองให้ได้ หมดทันทีเลย

มันก็เป็นอันว่าง่าย ๆ มันเป็นอุบายวิธีนำจิตของเราคุณ มันเป็นอุบายวิธีนำจิตของเราเข้าไปสู่ความเจริญ อาตมาจะให้เหตุผลง่าย ๆ อย่างอาตมาเคยเล่าเสมอ ๆ ฉายกี่รอบก็ไม่รู้ ซึ่งอุบายวิธีของแต่ละท่านที่ทำ พูดถึงการสร้างพลังของจิตเอาภายนอกมาพูดกันได้ง่าย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยเล่าอยู่แล้ว เช่น ตัวอย่างท่านที่มองอะไรเป็นนิมิตสักอย่าง ซึ่งท่านสร้างสตินะ บังคับความรู้สึกของท่านให้รับรู้ รู้อยู่เฉพาะวัตถุอันนั้นแหละที่เขามอง จนสามารถบังคับความรู้สึกของท่าน ให้รับรู้อยู่ในวัตถุอันนั้นได้ตามปรารถนาดีแล้ว ท่านก็จัดว่าพลังของสติ ที่บังคับความรู้สึกของสตินี้

สามารถบังคับได้เหนือกันแล้ว เพียงแค่นี้แหละคุณเป็นเบื้องต้นนะ เอากำลังตัวนี้ พอท่านได้สมบูรณ์แล้ว เท่ากับท่านได้ทรัพย์ก้อนหนึ่ง นอกจากท่านจะหมุนเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กำไร นี้จากนั้นมา สมมุติอย่างฤาษี เขาต้องการเหาะเหินเดินอากาศนี้คุณ เขาพยายามเอาฝึกเอาวัตถุชนิดนั้นมาเป็นนิมิตเขาหลับตา เห็นวัตถุชนิดนั้นเสร็จแล้ว เขาก็ให้วัตถุชนิดนั้นขยายตัวออก เขาทำความรู้สึกแล้วขยาย เขาให้ความรู้สึกอันนั้นว่าขยายเสีย แล้วจิตของเราก็เห็นด้วยว่า มันขยายตัวออกโตแล้วก็หดเข้าไปลึกมันก็เห็นด้วยออกไกล เข้าใกล้อะไรทำนองนี้ เสร็จแล้วเข้าไปทำลายเสีย เขาก็มาเอาส่วนร่างกายให้โตออกให้เล็กเข้า ให้โตออกให้เล็กเข้า นั่นอยู่เฉย ๆ เหมือนกับว่ามันลอยขึ้น มันลอยขึ้นจนกระทั่งศรีษะไปขนโน้นละชื่อกุฏิ นี่มันขึ้นจริงนะนี้นะ พอเข้าใจไหม

นี่เขาก็ถอยลงมาจนกระทั่งถึงอาสนะก็รู้สึกว่านั่งก็ขึ้น เขาทำเพียงแค่นั้นยังสามารถทำให้เขานะ เหาะเดินอากาศหรือว่าลอยขึ้นไปได้ นั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อยู่แล้ว ทีนี้สำหรับพวกเราที่ทำนี้โดยจิตมุ่งประสงค์อันแท้จริงของพวกเราก็คือ พวกเราก็สร้างสติเช่นกันให้มีกำลังเหนือจิตใจสามารถผลักดันจิตใจของเรานี้ให้อยู่ในอำนาจของมัน แต่โดยจิตประสงค์อันแท้จริงนั้นคือ เราจะเอาเข้ามาพิสูจน์ความจริงของจิต ที่มันมีความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ แล้วเราจะได้มาบังคับในทางที่เรามองเห็นว่า อันนี้เป็นเพื่อความเสียหาย บังคับให้จิตของเราหยุด พร้อมทั้งบังคับให้จิตของเรารู้เห็นว่า มันเสียหายจริงอย่างนี้ แล้วไม่ให้จิตพอใจถลำหรือดำเนินเข้าไปสู่ความเสียหาย

ซึ่งเป็นอุบายของเราโดยตรง เมื่อเราสร้างขึ้นอย่างนี้ สิ่งที่เราทำอย่างนี้ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ จะต้องเป็นไปได้เหมือนกัน เมื่อหากเราสามารถมีความรู้สึกเป็นไปอย่างนั้น อย่างถูกต้องเช่น อย่างปัจจุบันให้เราเข้าใจเสียว่า ร่างกายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ร่างกายอย่างนี้ จิตใจเป็นเรา เราเป็นจิตใจนี้ให้มันแน่ขึ้นมาดูซิ แล้วต่อไปในวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องตาย สิ่งทั้งปวงในโลกเราเอาไปไม่ได้ มีความดีและความชั่วเท่านั้นแหละเป็นอนุคามินีติดตามเราไป

เมื่อเราทำความชั่ว ความชั่วย่อมติดตาม แต่ความชั่วที่ติดตามนั้นไม่ให้ผลประโยชน์ มีแต่จะทรมานเรา ความดีที่เรากระทำนี้แหละจะเป็นสิ่งอนุคามินีติดตามเราไปเหมือนหนึ่งเป็นญาติที่สนิทกัน เราคอยอยู่ ณ สถานที่ใด เมื่อเข้าไปสู่แดนนั้น ญาตินั้นแหละจะให้ความอุปการะหรือให้ความสะดวกแก่เราฉันใด ความดีที่เรากระทำเหมือนญาติที่ดีของเรานั้นเอง จะตามอุปถัมภ์หรือพิทักษ์รักษาเราให้ได้รับความสุข

อย่างต่ำนำเราไปสู่ลัคคาลัยเมื่อจุติเคลื่อนจากลัคคาลัยตั้งมาเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งอาศัยตระกูลเป็นต้นทุน ให้มีนิสัยละเอียดขึ้น หรืออาศัยกำลังคือสิ่งที่ประดับบารมีเป็นธรรมดานั้นแหละเอาอุดหนุนเราให้ประกอบอะไรโดยไม่ขัดข้องสะดวกสบายอะไรทำนองนี้ ขอให้ได้เข้าใจอย่างนี้ให้ถูกต้องให้จริงเถอะนะ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่เข้าใจในทางชั่ว ถ้าเราไม่พอใจในทางชั่ว สิ่งที่ชั่วเราแสดงมาเราละเลยมาทำไม เราไม่อยากจะเก็บจะทิ้ง ๆ ไปเท่านั้น

พอเรามองยกรูปเปรียบอย่างง่าย คล้ายกันกับเด็ก ธรรมดาเด็กที่ยังไม่ลุนิติภาวะก็อาจจะเก็บอะไรหรือจะเล่นอะไรไปตามเรื่องของเด็ก ตามประสาของเด็ก ในเมื่อเราเป็นเด็กเราก็อาจที่ว่าพอใจเป็นอย่างนั้น แต่หากเรารู้นิติภาวะในทางธรรมแล้วเล่า เมื่อเขาเอาอย่างนั้น เราจะเอาบ้างไหมก็ไม่เอา ยกรูปเปรียบง่าย เช่นตัวอย่างเด็กที่อาบดินนั้นแหละ แทนที่จะสะอาดแต่แล้วไปอาบดินให้สกปรก เราผู้รู้นิติภาวะได้แล้วจะไปอาบดินได้ไหม ก็เอาไม่ได้

ฉันใดก็ดีเมื่อหากจิตใจจะไปนำสิ่งมัวหมองมาย้อมตัวเองเราจะพอใจอย่างเขาหรือเปล่า ก็เอาไม่ได้เพราะเราต้องการความสะอาดทำไมจะไปอาบสิ่งสกปรกเล่า นี้ก็เช่นกันนั้นเอง เพราะความเข้าใจนั้นถูกต้องจนจิตของเราไหวตัวไปรับไม่ได้ ผลสุดท้ายก็ปล่อยให้เป็นเครื่องประดับโลกนั้นเอง มันก็เป็นเครื่องประดับโลกไปตามเรื่อง ทีนี้ส่วนจิตของเรา ถึงแม้เราจะอยู่ในโลกก็เหมือนนอนอยู่ในตมนั้นเอง จะโยนตมไปสู่ใบหรือสาดน้ำเข้าสู่ใบก็ไม่ซึมซาบ ก็เป็นอันว่าไหลไปคนละทิศคนละทางกัน หรือน้ำมันกับน้ำธรรมดาที่เคยกรอกเข้าไปในขวดเป็นขวดเดียวกัน จะเขย่าสักเท่าไรก็ตามว่างปลึบก็ต้องแยกที่กัน

ฉันใดก็ตามถึงแม้เราจะคลุกคลีอยู่ในโลก ตลอดความเป็นอยู่ในโลกทั้งหมด จะทับถมจิตใจของเราทั้งหมดไม่ได้ เราจะเอาสิ่งใดสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งมองเห็นแล้วจะเป็นประโยชน์สิ่งที่มีโทษจะเป็นมลทินนี้เข้ามาดองจิตของเราไม่ได้เป็นอันขาด มันก็มีอย่างนี้ มันก็มีอย่างนั้นคุณ เหมือนเทน้ำนะคุณ อย่าเลยอาตมาก็ไม่ว่าอาตมาก็เรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าก็สอนเราโดยตรงอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ขัตติธรรมนี้เป็นของดี เราก็ลองอ่านดูในมงคลสูตรคาถาขันติจะโส วะจัสสะตา

คำที่ว่าขันติตัวนี้แปลว่าความอดทน โสวะจัสสะตา แปลว่าผู้ว่าง่ายสอนง่าย เราพูดกันเฉพาะขันติคือความอดทน คุณธรรมคือขันตินี้ คุณลองคิดดูซิ ขันติตัวนี้เป็นของดี แต่เราให้เข้าใจขันติ คือความอดทนอะไรให้เราคิดเสียก่อน ไม่ใช่จะไปทนกับทุกสิ่งทุกอย่าง คำที่ว่าขันติคือความอดทนนี้ ตนต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ เช่น โรคภัยไข้เจ็บทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะโรคภัยไข้เจ็บในเรา หรือทนต่อความร้อนความหนาว ความหิวกระหายอย่างหนึ่ง นี้ทนต่ออารมณ์อันเป็นอนิจฐารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตเรา

ทนต่อความครหานินทาภายนอก ซึ่งเขาสร้างหรือกล่าวร้ายอะไรต่าง ๆ ซึ่งในสิ่งที่เรามองเห็นได้ชัดว่าจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์อันดีงาม เมื่อเราลงมือประกอบ หากเขาดูถูกลงโทษหรือหาวิธีทับถมโหมเราให้น้อยใจเสียใจ ให้เราท้อถอย ล้มเลิกจากการทำความดีเสีย จากกลุ่มของพวกเราที่กำลังบุกอันอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ หากบุคคลที่มีนิสัยพาล สันดานที่มีพระพญามารเจืออยู่ในสมอง อาจจะมาทำให้กลุ่มของเรานี้หรือกลุ่มของเราที่ขยายตัว หรือว่าพังทลายออกเสียอะไรในทำนองนี้

เมื่อพวกเราจะได้ประสบนี้ ก็เป็นอันว่าพวกเราไม่มีทางจะได้รับอานิสงส์แห่งความดีที่พวกเราปรารถนานี้เลย เพราะนั้นเมื่อพวกเรามีขันติธรรมซึ่งเป็นเครื่องต่อสู้อยู่ภายในของท่านทั้งหลายทุกท่านอยู่แล้ว จำเป็นพวกเรามีความสามัคคีเกาะกันอย่างมั่นที่สุดแข็งแกร่ง ตั้งหน้าประพฤติปฏิบัติ ผลสุดท้ายอธรรมซึ่งจะยื่นมือเข้ามาแทรกพังทลายพวกเรา พังลงไม่ได้

พวกเราก็เป็นอันว่าแน่นขึ้นเป็นลำดับเกาะกลุ่มกันอย่างแข็งแรง อาตมาเชื่อเหลือเกิน อธรรมมันจะชนะธรรมได้เสมอไปได้หรือ อธรรมมันต้องแพ้ธรรมะ ถ้าพวกเราแข็งแรงพอ อาตมาว่าอย่างนี้สำหรับอาตมา เพราะนั้นเรื่องขันติธรรมพวกเราต้องเอาเข้ามาต่อสู้ เราคิดดูซิว่าขันติดาบส ในครั้งสมัยพระพุทธเจ้าของเราเสวยพระชาติเป็นขันติดาบสนะ ขันติดาบสนี้เป็นผู้กำลังสร้างบารมีแบบที่เรียกว่าขันติบารมี

ในคราวสมัยนั้นดาบสคนนั้นกำลังแสวงหาการสร้างบารมีดำเนินอยู่ ท่านจะต้องการเข้ามาสู่เมืองพาราณสี เมื่อท่านมาพักอยู่นอกพระนคร ท่านได้มองเห็นอุทยานสถานเป็นที่น่าอาศัย ท่านก็ได้แวะเข้าไปพักอยู่ที่อุทยานของพระเจ้าพาราณสี ในวันหนึ่งพระเจ้าพรมทัตออกประพาสอุทยานสถานพร้อมพร้อมด้วยนางสนมกำนัล บริวาร พอเข้าไปถึงพระองค์นะเคลิ้มหลับไป นางสนมกำนัลก็ออกเที่ยวอยู่ข้างนั้นแหละ

เที่ยวไปเที่ยวมาเห็นหลับสนิทดีก็เที่ยวไปเลยไปเจอขันติดาบสกำลังนั่งบำเพ็ญตบะธรรมอยู่ใต้ร่มไม้ จึงได้เข้าไปกราบ พอกราบแล้วท่านอธิบายถึงขันติคือความอดทนให้ฟัง ประโยชน์ของขันติ เมื่อหากบุคคลผู้ใดมีขันติคือความอดทนอยู่ในตน แต่ทำที่ว่าขันติคือความอดทน ไม่ใช่ทนความชั่ว คือทนต่อสู้ความชั่ว ทนรักษาความดีของเรามีอยู่แล้ว ทนพยายามบากบั่นแสวงหาความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น

ท่านอธิบายถึงเรื่องขันติคือความอดทนมีคุณค่าขนาดไหน กำลังอธิบายนางสนมกำนัลของพระเจ้าพรมทัตเพลินในธรรมเทศนาของฤาษีลืมพระเจ้าพรมทัตที่กำลังบรรทมหลับอยู่ พระเจ้าพรมทัตตื่นขึ้นมองหานางสนมกำนัลไม่เจอ ไปไหนจึงได้สะกดรอยตาม ไปนั่งฮ้อมล้อมอยู่กับดาบสคนหนึ่ง

พระองค์ก็กริ้วคือโกรธใหญ่ จึงได้เข้าไปถามว่า ท่านมาจากไหน ท่านก็บอกว่า อาตมาออกมาจากสถานที่บำเพ็ญตบะธรรม ท่านชื่อไร บอกว่าชื่อขันติดาบส ฮึ ขันติมันอยู่ตรงไหน พลับพรึบแข็งขันออกทันทีที่ตัดจมูกไป นี้หรือขันติมันอยู่ตรงนี้หรือ ไม่ใช่อยู่ที่อาตมานี้ ตัดหูเลย หรือขันติอยู่ตรงนี้หรือ เปล่าอยู่ที่ตัวอาตมาเอง ตัดแขนให้ออกสองแขน นี่หรือขันติมันอยู่ตรงนี้หรือ เปล่าอยู่ที่อาตมานี่แหละ กระทืบเข้าในหน้าอกหงายผึ่ง เลยสุดท้ายดาบสก็ถึงแก่ความตาย

อันนี้เล่าให้ฟังนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าคือ ชะยัมโพธิองค์ที่เป็นมุนีของพวกเราพระองค์ได้สร้างบารมีแบบขันตินี้มาแล้ว ต้องอาศัยขันติคือความอดของพระองค์นี้ช่วยพระองค์ใช้สร้างบารมีของพระองค์สำเร็จมาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นพระองค์ก็สำเร็จไปไม่ได้ เพราะนั้นการสร้างบารมีของพระองค์ต้องอาศัยนี้ ขันตินี้เป็นตัวอุดหนุน จึงเป็นเหตุให้สำเร็จมาหรือจะมองถึงเรื่องขันติดาบสนี้ก็มองได้ว่า เมื่อหากขันติดาบสนี้ ไม่มีความอดทนต่อสู้วาทะหยาบร้ายของพระเจ้าพรมทัตแล้ว หรือตลอดการประหัดประหารตัดจมูก ตัดหู ตัดแขนก็ดี

เมื่อหากนึกว่าเลือดผู้ชาย อือ..นี้เขาทำเราอาศัยอำนาจของกิเลสตัณหาเข้าว่ากันแรงด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา อาจจะมีอะไรกันสักหน่อยเป็นธรรมดา หรือเมื่อท่านอาจลงมือตุบตับบรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้น อาจจะตุบตับเป็นกำลังช่วยก็ได้ เพราะอาจไม่ชอบพระเจ้าพราณสีก็ได้ มันจะต้องแสดงวิธีฤทธิ์มีพิษในวันหนึ่งข้างหน้า อย่าว่าแต่เพียงครูบาอาจารย์อย่างนี้เลย ลูกของตนเองเมียของตนเองแน่เมื่อไร ไม่วันใดก็ต้องวันหนึ่งเมื่อหากมันแสดงฤทธิ์มันอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตไปก็ อาจเป็นได้

นี้อย่าว่าแต่เพียงลูกเมียหรือญาติวงศ์พ่อแม่เอย ตัวของตัวเองมันก็ทำได้ ลองคิดดูอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉะนั้นอาตมาถึงว่าเรื่องกิเลสตัณหาอาสะวะนี้เมื่อมีอยู่บุคคลผู้ใดก็จัดว่า คนนั้นยังมีพิษอยู่ เมื่อหากผู้ใดสามารถกำจัดอาสะกิเลสตัณหานี้ออกได้หมด เรียกว่าคนผู้ไม่มีพิษ คำทีว่าคนที่ไม่มีพิษ คำที่ว่าคนที่ไม่มีพิษก็อย่างพวกเรามองเห็น หรือจะได้ทราบประวัติของพระอริยะเจ้า

เช่นตัวอย่างสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ คุณล้ำก็ได้ทราบชัดอยู่แล้วว่า เช่นตัวอย่างพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีคนมาด่าพระองค์ พระองค์ก็ไม่เห็นว่าอะไร ก็นั่งฟังเฉย เมื่อเขาเหนื่อยเราก็ถามว่าเหนื่อยแล้วหรือหิวข้าวก็ไปรับข้าวก่อน แล้วก็ออกมาใหม่ให้มีกำลังแล้วก็ว่ากันใหม่ เอาจนหมดกำลังผลสุดท้ายเมื่อเขาสุดกำลังแล้วเขาหายโกรธแล้วองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เทศนาให้ฟัง คนผู้นั้นเกิดเลื่อมใสพระองค์นี้

สำหรับคนผู้ไม่มีพิษเป็นอย่างนั้น สำหรับสาวกของพระพุทธเจ้าผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพเป็นผู้ทำลายอาสะวะ กิเลสได้แล้ว จึงได้นามว่าผู้ถึงซึ้งอาสะวะวิชชา พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ไม่มีพิษ เพราะนั้นเมื่อหากพวกเราเป็นผู้สามารถกำจัดปฏิวัติสิ่งที่มีพิษออกจากเราได้ แล้ว ก็เรียกว่าเป็นผู้ไม่มีมลพิษเหมือนกัน บรรดาหมู่คณะที่อยู่ด้วยกันก็รับรองว่าเป็นผู้ไม่มีพิษไม่เป็นอันตรายแก่กัน

เผื่อว่าพวกเราไม่รีบกำจัดเสียปล่อยเอาไว้ ไม่แน่ในวันหนึ่งข้างหน้าพวกเราก็เช่นกันเพราะฉะนั้นพวกเราต้องพยายามที่นี้ ส่วนกำลังธรรมาวุธที่อาตมาเคยประสิทธิ์ประสาทให้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา พวกเราก็คงพอที่จะรวมให้เป็นกำลังได้อยู่แล้ว แต่ที่สำหรับที่พวกเราจะปักหลักยึดสถานที่เงียบสงัดวิเวกวังเวงเป็นสถานที่ เรียกว่าสมรชัยภูมิ สำหรับยุทธวิธีกิเลสตัณหาเนี่ย ถ้าจะพูดในหมู่สถานที่เหมาะสม

แต่พวกเราปักหลังลงมือกันเมื่อไร ก็มีเพียงแค่นั้น นี้ขอให้พวกเราตั้งหน้าดำเนินกันเถอะ ถ้าหากพวกเราไม่รีบแล้วก็อย่างนั้นเอง นี้ขอให้พยายาม นี้สถานที่จริงแห่งบรรดาท่านผู้บริสุทธิ์หมดจดเนี่ย ท่านเรียกว่าอมตะมหานฤพาน แต่สำหรับอมตะมหานฤพานนี้ท่านต้องการดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์หมดจดจริง ๆ เพราะว่าอยู่ ณ สถานที่นั้น ไม่มีใครแล้วที่จะอิจฉาตาร้อนกันเพราะเป็นผู้ไม่มีพิษ เป็นผู้ไม่มีอะไรซึ่งจะแสดงฤทธิ์ออกมา

เมื่อท่านคนใดนะเข้าไปอยู่ ณ สถานที่นั้นย่อมมีความสุขความเจริญ ท่านถึงบอกว่าสถานที่นั้นเป็นแดนแห่งบรมสุข เมื่อพวกเราต้องการอยากจะไปอยู่ก็บัณฑิตเจ้าก็มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานแล้ว พวกเราต้องกำจัดสิ่งที่บรรดาท่านที่เข้าไปอยู่ ณ สถานที่ดังกล่าวนี้ไม่ต้องการ ต้องกำจัดออกให้หมด เพราะมันเป็นกฎระเบียบชนิดหนึ่ง ว่าผู้ใดจะเข้าไปสู่แดนแห่งอมตะมหานฤพานต้องกำจัดสิ่งนี้ออกเสีย

เมื่อหากมีสิ่งนี้ติดตัวอยู่ เมืองโน้นหรือท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ยอมรับเป็นพวก เราไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปอยู่ได้ ฉะนั้นเมื่อไรต้องการจะเข้าไปอยู่สถานที่ไม่มีความอิจฉาตาร้อนซึ่งกันและกัน หรือเข้าไปอยู่กับคนที่ไม่มีพิษไม่สง เราต้องรีบกำจัดของเราเสีย ก็มีเพียงแค่นั้นจะว่าไงมันจะแสดงฤทธิ์ออกไหมในวันหนึ่งข้างหน้า คือว่าความไม่เข้าใจนั่นเอง คุณก็คงจะมองเห็นได้ชัด ๆ นะ

เช่นตัวอย่างบางท่านบางคน โอ้โห..ร่ำรวยเหลือเกินคุณ แต่ประมาททางศาสนาประมาทการทำความดีต่อนะ กินแต่ทุนเก่าของตัวเองนะเสมอไปนะ อันนี้เพราะเหตุไรคุณลองหลับตามองซิ อาตมามองเหลือเกินเรื่องนี้ เอ..เผื่อหากว่านะ คนรวยนี้ต้องอาศัยบุญกุศลที่ทำได้แล้ว บุญเป็นสิ่งอนุคามินีติดตามนำพาให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น มาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยอะไรทำนองนี้ แล้วทำไมหนอพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้น มาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยอะไรทำนองนี้

แล้วทำไมหนอพวกเราพวกท่านทั้งหลายนั้นชั่งไม่มีกะใจที่จะทำความดีหรือหากความดีนั้น ไม่กระตุ้นเตือนความรู้สึกของเขาให้โน้มเอียงมาอย่างนี้ หรือจะเป็นยังไงหนอ แต่นี้ท่านมีความอดกลั้น เต็มทนแบบที่เรียกว่าขันติ ๆ คือต่อสู้กับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ จึงเป็นเหตุให้พระบารมีของพระองค์เต็มบริบูรณ์ขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นบารมีของพระองค์ที่สร้างมาก็เท่ากับว่าพังทลายลงไปอีก

แล้วเป็นเหตุให้สร้างบารมีไปอีกหลายชาตินี้มันเป็นอย่างนี้ เพราะนั้นพวกเราต้องอาศัยขันติมาช่วย แล้วก็ให้พวกเราจับกลุ่มกันสมานมิตรสามัคคีกันต่อไปนะ แล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันเถิดพวกเรา อย่าไปฟังเสียงเลยสำหรับคนที่พูดอย่างง่าย ๆ มีนิสัยพาลมันสมองเป็นพญามาร ที่จะมาแทรกซึมให้แก่พวกเรา แล้วก็ทำให้พวกเรานี้คล้ายกับว่าสลายตัว หรือว่าหนีจากกันไปทำนองนี้หละ

เอา พวกเราอย่าได้เป็นอย่างนั้น ขอให้พวกเราจับกลุ่มกันอย่างมั่นคงประพฤติปฏิบัติไป อธรรมต้องแพ้เราแน่ อาตมาเชื่ออย่างนั้นแหละ

วัดเขาสุกิมวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๐๙

**ไม่อนุญาตให้นำไปเพื่อการค้าหรือจำหน่าย แต่สามารถพิมพ์แจกเป็นธรรมทานได้