พระธรรมเทศนา อุบายวิธีจับจิต .

อุบายวิธีจับจิต .

            ที่นี้ส่วนการบำเพ็ญของพวกเรา ก็คงจะเข้าใจกันพอสมควรเพราะว่าแนะนำเสี่ยมสอนกันอยู่เสมอ แต่สำหรับการได้ยินได้ฟังมานั้น มันก็อาจจะแตกต่างกันบ้างหลายครูหลายอาจารย์ หลายแบบหลายอย่าง เพราะนโยบายการบำเพ็ญนั้นรู้สึกว่าจะแตกต่างกันบ้าง เพราะการทำสมาธิจิตนี้ไม่ใช่ทำกันมาตอนพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญพุทธแล้ว มีการบำเพ็ญสมาธิจิตกันมาจากนั้นก็หาไม่ เพราะด้านสมาธิสมบัตินี้รู้สึกว่าจะมีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิดเสียด้วยซ้ำไป อันนี้พวกเราคงเข้าใจดี แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรายุคสมัยก่อนการศึกษาศิลปะวิชาการต่าง ๆ เท่าที่พวกเราได้ทราบก็รู้สึกว่าจะศึกษาจากบรรดาครูอาจารย์ที่เอียงมาทางด้านศาสนา ส่วนมากมักจะเป็นอย่างนั้น ยุคหลังจนกระทั่งสิทธัทถะกุมาร เบื่อความเป็นอยู่ในโลก และเหตุการณ์ของโลกที่แสดงอยู่พร้อมทั้งข้าศึกที่แสดงอยู่ พร้อมทั้งหมู่ญาติทั้งสองจะเกิดการรบราฆ่าฟันกัน สารพัดนานับประการท่านก็มีความเบื่อเป็นกำลัง จังเป็นเหตุให้ท่านทรงออกผนวชบวชแล้วแสวงหาโมกขธรรม ท่านก็ไปตามครูอาจารย์ที่ท่านเคยศึกษามาก่อนเหมือนกัน ไปตามครูอาจารย์ที่ท่านเคยศึกษามาก่อน แต่บรรดาครูอาจารย์เหล่านั้นที่ท่านเฟ้นหาก็ล้วนแต่เป็นครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในระหว่าง ๖ ปี ๖ พรรษา นั้นก็รู้สึกว่าท่านพยายามศึกษาลัทธิไตรเพทต่าง ๆ จนสำเร็จ แต่ละไตรเพทแต่ละลัทธิ แต่ละเจ้าลัทธิก็สมมุติให้ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น แต่ตัวของพระองค์เองไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระอรหันต์เพราะพระองค์ได้รู้พระองค์ได้ดี ว่าไม่หมดจากกิเลส กิเลสยังมีอยู่จึงเป็นเหตุให้พระองค์ไม่นิ่งนอนใจจึงแสวงหาต่อไปจากครูอื่นอาจารย์อื่นดล้วนแต่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งนั้น พอท่านจงไตรเพทครูอาจารย์นั้นก็ให้ท่านเป็นพระอรหันต์อีกเช่นกัน แต่ตัวของพระองค์เองก็ไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องหาครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่ชาวโลกเขาเชื่อถือว่าเป็นอริยะบุคคลชั้นสูงต่อไป เฟ้นหาอยู่ ๖ ปี ล้วนแต่อาจารย์ที่ดัง ๆ ทั้ง ๖ ปี แต่ก็ไม่ได้เป็นไป เพื่อความสำเร็จเป็นสยัมภู ต่อมาเมื่อพระองค์ได้ออกปฏิบัติโดยลำพังดำเนินตามปฏิปทาที่พระองค์เข้าใจว่า อันนี้คืออุบายวิธีทรมานต่าง ๆ เป็นการทรมานกายเช่นการตากแดด ย่างไฟ หรือชำระกิเลสด้วยไฟ นอนฝากนอนหนามกินขี้วัวขี้ควาย อาจจะฝังตัวให้ดินมันดูดกิเลสสารพันทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปทั้งหมด ไม่ใช่อุบายวิธีที่จะกำจัดกิเลสได้ ส่วนกิเลสพระองค์เข้าใจว่าอยู่ที่จิตใจ เรื่องภพจิตอยู่ที่จิตใจ เรื่องกิเลสอยู่ที่จิตใจ ความรู้สึกของจิตใจมีรูปลักษณะเป็นกิเลสเป็นอย่างไรพระองค์รู้ รู้แล้วว่าความรู้ของจิตคือตัวธาตุรู้ มันรู้ยังไงเรียกว่ากิเลส ธาตุรู้คือจิตที่รู้ มันรู้ยังไงเรียกว่าธาตุ พระองค์มาเข้าใจอันนี้จึงได้หวนมาหาปฏิปทาข้อปฏิบัติอย่างที่ปรารภสู่ฟังในวันนั้นว่า พระองค์จับจิตของพระองค์ยังไง อย่างที่เล่าถวายไปแล้วนั้นว่า จิตใจไม่ใช่วัตถุ ถ้าเป็นวัตถุเราสามารถหยิบด้วยมือของเราเอามาวางได้ เช่นถ้วยเป็นวัตถุอันหนึ่ง มือมันก็คือวัตถุอันหนึ่ง ก็สามารถหยิบมาวางได้
             แต่สำหรับจิตใจไม่ใช่วัตถุ จิตใจเป็นเพียงแต่ธาตุรู้ อย่างที่เรารู้แหละครับ เรารู้ดีชั่ว ชอบไม่ชอบ โกรธเคือง ชอบ รัก อะไรต่าง ๆ ซึ่งมีความรู้ ความรู้นั่นแหละครับจิตเป็นตัวผู้รู้ ธาตุรู้ตัวนั้นแหละครับ ธาตุรู้ตัวนั่นแหละครับคือตัวของเราแท้ สังขารที่นั่งเติ่งเมิ่งดูกันอยู่นี่ ไม่ใช่ตัวของเรานะครับ อย่าไปเข้าใจว่าตัวของเรานะครับ อันนี้เป็นเพียงแค่ธาตุขันธ์ประชุมกันอยู่ปัจจุบันชาติ ซึงตัวของเราคือธาตุรู้เข้ามาอาศัยอยู่เท่านั้น ร่างกายสังขารซึ่งนั่งอยู่นี้เป็นยานพาหนะหรือเครื่องมือของเรา หมายความว่าเครื่องมือหรือยานพาหนะของจิตเท่านั้น ในเมื่อจิตคือธาตุรู้ต้องการสิ่งหนึ่งประการใดแล้วจะต้องบังคับร่างกายซึ่งเป็นยานพาหนะคือเครื่องมือของเขาประกอบในสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น อันนี้เป็นสิ่งชั่วครู่เดียว ธาตุโลกเขาก็ต้องสลายไปตามกำลังของธาตุโลก แต่ตัวธาตุรู้คือจิตใจไม่ตายนะครับ ไม่สลาย จะต้องไปก่อภพตามกำลังของกรรมต่อไป ตัวธาตุรู้นั่นแหละครับคือตัวเรา แล้วพระพุทธเจ้ามาหาวิธีอุบายที่จะจับจะจับจิตนี้นะต้องให้เป็นสมาธิ พระองค์จึงคิดหาวิธีทำอุบายที่จะจับจิตของพระพุทธเจ้าก็อย่างที่ผมปรารภภวายในวันนั้นว่า อาศัยสตินะสิครับ สติตรับ เพราะจิตนี้มันเป็นธาตุรู้ สติคือเป็นความระลึกรู้ เรารู้อยู่ตรงไหนมีสติอยู่ตรงไหน จิตจะอยู่ตรงนั้นพร้อมกัน เหมือนตัวเราไปที่ไหนเงาเราก็ต้องไปที่นั่น เราไปตรงไหนเงาก็ไปตรงนั้น เงากับตัวเราต้องตามกันฉันใด สติกับจิตก็คืออันเดียวกัน เราระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เรารับรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จิตของเราก็ต้องอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เมื่อเราเผดปู๊บ สติไม่ได้เกาะอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ไปต่ออารมณ์สัญญาภายนอก จิตก็ต้องไปต่ออารมณ์สัญญาภายนอกตามกับสติ เพราะเขามันคู่กัน เพราะฉะนั้นเราต้องจับจิตของเราด้วยสติ เอามารับรู้ที่ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก ทำไมถึงมาเอาลมหายใจเข้าออก นี่เป็นนิมิตเครื่องหมายพระพุทธเจ้าพระบรมครูผู้พระบิดาของพวกเราสำเร็จด้วยการ “อานาปา” แต่เราอย่าไปคิดว่าเรื่องจริตเป็นของสำคัญ เรื่องจริตเอาเถอะครับอย่าไปคิด บางคนว่าเรามีจริตอย่างโน้น มีจริตอย่างนี้ จะต้องไปถูกับกรรมฐานชนิดโน้นชนิดนี้ อันนี้เราเลิกคิดได้ครับเรื่องตำราปิดเสียก่อนครับ เรื่องตำราอย่ามาพูดถึงกัน อันนั้นเราอย่ามาพูด อันนั้นเป็นอีกคนละเรื่องคนละอย่าง เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่าเรื่อง “อานาปานัสสติ” นี่เป็นกรรมฐานแบบสาธารณะครับดีมากครับ ขอให้พยายามทำเถอะครับ อย่าไปคิดเรื่องจริต ให้กำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ามีบริกรรมมรรค ภาวนาว่าพุทธนะครับ หายใจออกมีคำบริกรรมว่าโธ จึงได้ความพุทโธ พุทโธ พุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกว่าโธ ถ้าไม่พุทไม่โธได้หรือ ได้ครับเหมือนกัน แต่ทำไมถึงพุทธถึงโธล่ะ เอาเถอะครับพระนามของพระพุทธเจ้า พุทโธ แปลว่าผู้รู้ ผู้เบิกบาน เป็นพระนามอันหนึ่งของพระพุทธเจ้าพ่อเรา เอาพระนามของพระพุทธเจ้ามาบริกรรมเป็นมงคลดีครับ เหมาะมากครับ ผมชอบที่สุดครับ ขอให้พวกเรานึกอย่างนั้นเถอะครับ เพราะฉะนั้นถือเอาคำว่า พุทโธ พุทโธ นี่มาเป็นคำบริกรรมมรรคภาวนา บางคนอาจจะบอกว่าเอ..มันขัดกับจริต เพราะจริตของผมอย่างโน้น อย่างนี้ ผมบอกแล้วไงครับว่าทิ้งเสียก่อนครับ ไอ้เรื่องตำราเรื่องจริตทิ้งไป อย่าเอามาพูดกัน เรามุ่งหน้ามุมานะจะเอาให้ได้อย่างเดียว อะไรไม่สน จริตจรติไม่เกี่ยวเรามุมานะจะเอาอย่างเดียว เพราะฉะนั้นให้เรากำหนดลมหายใจเข้า กำหนดลมหายใจอก มีบริกรรมมรรคภาวนาประกอบ หมายถึงเอาพุทกับโธไม่ออกเสียง นึกในใจ นึกพุทโธ พุทโธ มีสติจับจิตของเราให้รับรู้อยู่ที่ปลายจมูก แต่ไม่ใช่เพ่งนะครับ ไม่ใช่กดดันนะครับ ไม่ใช่เพ่งนะครับรับรู้เฉย ๆ รับรู้ลมหายใจเข้าออกเฉย ๆ กำหนดรู้อยู่นั่นแหละครับ แต่ลมหายใจเข้าออกอย่าไปแต่งนะครับ ปล่อยธรรมชาติ ปล่อยธรรมดา หายใจเข้าหายใจออกอย่าแต่งนะครับ หายใจเข้าหายใจออกปล่อยธรรมดา ๆ แล้วกำหนดรู้ พุทโธ พุทโธ เฉย ๆ อย่าไปเกร็งอย่าไปดัน อย่าไปเพ่ง อย่าไปกด อย่าไปสะกด รับรู้เฉย ๆ เราจะรู้ได้ถ้าเราไม่มีการเพ่งหรือสะกดตัวเอง มันจะสบายครับ โปร่งโล่งธรรมดา ๆ ถ้าเราทำผิดจะอึดอัดครับ รู้สึกหายใจไม่สะดวก คอแห้ง หรือน้ำลายไหลออกมา หรืออาจจะมึนงงศรีษะ อึดอัดในหัวใจอะไรเหล่านี้เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเรียกว่าวิปริต ความวิปริตทั้งหลายเกิดขึ้นนั่นคือว่าเราอาจจะเป็นตัวสะกดตัวเองเราก็ต้องกำหนดให้กำหนดเพียงแค่รับรู้เฉย ๆ จะไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้นเลยนะครับ อันนี้ถูกนะครับ ทีนี้เราก็นั่งกำหนดอยู่นั่นแหละครับ นั่งกำหนดพุทโธ พุทโธ จนสามารถบังคับความรู้สึกของเราให้รับรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายจมูก ไม่มีโอกาสใดที่จิตของเราจะหนีหน้าสติ หรือสติพาจิตของเราไปต่ออารมณ์สัญญาภายนอกได้แล้วครับ อยู่ในจุดที่เราต้องการแจ๋ว ๆ อยู่ตลอดเวลานะครับ ทำได้อยู่ตลอดเวลาแจ๋วตลอดเวลานะครับ ถือว่าตปธรรม อำนาจที่สร้างขึ้นมาเหนือจิตแล้วนะครับ คุมให้อยู่กับความต้องการของเราได้แล้ว ถ้าคุมได้แล้วนะครับทดสอบทดลองได้หลายอย่างครับ เวลาเรานอนหรือจำวัดนะครับ นอนสีหะไสยาสห์ เอามือขวาสอดเข้าไปใต้แก้ม เอามือซ้ายวางราบไปตามตัว เอาเท้าเหยียดไปนะครับ อย่าให้ตึงนัก อย่าให้หย่อนนัก เท้าเหลื่อมเท่ากันพอดี ๆ กำหนดลมหายใจเข้าออกเช่นกัน พุทโธ พุทโธ นึกว่าไม่หลับนะครับคืนนี้ สติไม่ขาดครับ รับรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกแจ๋วอยู่ตลอดเวลา ตลอดคืนปรากฏว่าไม่หลัง แต่พอลุกขึ้นมาไม่งง มึนงงศรีษะนะครับ ไม่ซึมเซา เปรียบเหมือนเรานอนหลังทั้งคืนแหละครับ นั่นถูกต้อง ถูกต้องแน่ ๆ ครับ ต่อจากนั้นไปนะครับ ในเมื่อมันสมบูรณ์ดีแล้ว ทุกอย่างนะครับ เราไม่ต้องเอาไปใช้กับอันอื่นหรอกครับ ผีเทวดาเราก็ต้องรู้ครับ เพชรพลอยอยู่ตรงไหน ไม่ต้องไปมองนะครับ อะไร ๆ ก็แล้วต่อในทางที่เป็นอภิญญาณสมาบัติเราไม่สน เราไม่เอา เรามุ่งหวังที่จะเข้ามาปรับปรุงตัวของเราให้ปราศจากคำที่ว่าบาป ปราศจากกิริยาที่ไม่เหมาะสมของความเป็นลูกของพระตถาคตเจ้า เราต้องเอาจากส่วนนี้ทั้งหมดมาประกอบกับกายวาจา เราจะลุกขึ้นนั่งลง ต้องนึกถึงเพศวัย ฐานะของตัวเอง ลุกขึ้นแบบไหนถึงจะเหมาะเพศ เราเป็นสมณเพศ ลุกแบบไหนจะเหมาะสมกับวัยของเรา อยู่ในวัยเช่นไร ฐานเช่นไร การลุกขึ้นต้องเป็นปกติอย่างเดิม วันนี้เราลุกแบบนี้ แบบนั้นต้องอยู่ลักษณะนั้นอยู่เสมอไป ไม่มีลุกขึ้นโดยปราศจาสติสัมปชัญญะ ไม่มีการลุกขึ้นโดยการขาดการกลั่นกรอง ต้องพิจารณาแล้ว ต้องพิจารณาแล้วญัติเข้ากับคำว่าเหมาะสมกับเพศของพวกเราแล้วจึงได้ลุกขึ้น ทุกกิริยาอาการที่เคลื่อนไหว แม้แต่จะหยิบของว่างควรจะมองซ้าย จะแลขวา ไม่เป็นไปเพื่อความปราศจากสติ เหมือนเสียว่าสติจับแต่งเอาเสียหมดทุกกิริยาอาการเสียเลย เป็นอย่างนั้นนะครับ ต่อจากนั้นวาจาที่เปล่งออกมาเราก็ต้องนึกถึงเพศ วัย ฐานะ และความเป็นสมณะ นึกถึงศีลธรรม คำที่พูดการแสดงออกเป็นไปเพื่อความกระทบกระเทือนก่อความเศร้าหมองให้กับผู้อื่นหรือไม่ เราต้องทบทวนกลั่นกรองพิจารณาเสียก่อนนะครับ ให้เรียบร้อยอย่าให้เป็นไปด้วยการปราศจากสติสัมปชัญญะ ปราศจากคุณธรรมที่สร้างขึ้นมาก ต้องอาศัยเครื่องเหล่านี้เป็นเหมือนหม้อกรองกลั่นแล้วนะครับแล้วถึงค่อยปล่อย กริยาก็ดี กายหรือวาจาก็ดีในเมื่อเราปรับปรุงสมบูรณ์แล้ว ความรู้สึกทางด้านจิต เราไปประสพสิ่งที่น่ารัก น่าใคร่ ประสพถึงสิ่งที่น่าเกลียด โกรธทั้งปวง กิริยาเกิดขึ้นมาแล้วต้องหักห้าม อันนี้ไม่ควร อันนี้ไม่ถูก พระพุทธเจ้าพ่อของเรามีจิตใจเหมือนคนอื่นไม่มีคำว่ารัก ชัง เอนเอียงไปในทางรัก ถือว่าเป็นกามสุขันธุ์นุโยค เอนเอียงไปในทางชัง เรียกว่าอัตถะสุขานุโยค มัฌฌิมาปฏิปทาธรรมนั้น หมายถึงใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงทั้งสองข้าง อาการที่แสดงขึ้นทั้งหมดเราจะมองเห็นว่า เขาเป็นบุคคลที่อ่อนว่ากิเลส กิเลสเหนือกว่าเขา จึงสามารถจับทุกกิริยาอาการของเราให้แสดงอาการอย่างนั้นต่อเรา เขาเป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่ใต้กิเลส เราเหนือกว่ากิเลสเราก็ไม่ควรที่จะต้องไปโกรธเกลียดกับบุคคผู้ที่ยังอ่อนอยู่ หมายความว่าแก่ก็ชั่งเถอะ แต่ยังอ่อนด้วยธรรมะ เปรียบเหมือนเด็กอ่อนที่แอบอยู่ที่ตักเรา เขาจะเหยี่ยวรดขี้รด ก็ถือว่าเขาไม่รู้เดียงสา เขาไม่รู้เดียงสา เขาทำไปไม่รู้เดียงสาแล้วจะไปโกรธกับตัวเขาหาว่าเขาขี้ราดไม่ได้ เพราะเด็กมันยังอ่อน แล้วเด็กมันเตะเราก็ดี ตบเราก็ดี เด็กอ่อนไม่รู้เดียงสา เราจะถือว่าเอ๊ะมึงตบปากกู้นี่จับโยนเสียเลย ไม่ได้เพราะเด็กไม่รู้เดียงสา แต่แก่จนหลังค่อมก็ตาม ถือว่าเด็กอ่อนในธรรมะ หมายความว่าอ่อนในธรรมะ กิเลสบังคับให้เขาแสดงต่อเราไปในทางที่มีกิเลสบัญชา เราก็อภัยเหมือนกับเด็กอ่อนที่อยู่ในตักเราอย่างนี้แหละครับ เราก็หาอุบายวิธีที่กว้าง ๆ หาวิธีเอาไว้แก้ไขกันอย่างนี้แหละครับ ทางด้านกาย ทางด้านวาจา ทางด้านใจ ด้วยนะครับให้เป็นอย่างนี้เสมอ ๆ ผลที่สุดอำนาจแห่งกิเลสที่จะบัญชาขึ้นมานั้น จะไม่มีโอกาสมาบัญชาเราได้เลย ระบบกิเลสไม่ต้องคุยกันละครับ ถ้าเราทำได้อย่างนี้นะครับ เราไม่ต้องพูดอะไรมากครับ คำที่ว่าสัมมาสมาธิ สมาธิที่สมบูรณ์ที่ต้องควรนั้นไม่ต้องไปพูดถึง และด้านสมาธินี้เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องการรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ต้องมาพูดถึงครับ สมาธิเช่นนั้นเกิดมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิดเสียด้วยครับ เกิดมาก่อน อันนั้นไม่เห็นหน้าจะจำเป็นอะไรสำหรับพวกเรา พวกเราจำเป็นจะต้องดำเนินในทางที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น เรียกว่า โลกุตระ สายของโลกุตระครับ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงพยายามศึกษา แล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันขอให้ตั้งใจกัน ตลอดพระใหม่เณรใหม่ ก็อย่าเสียอกเสียใจว่าผมไม่ได้คลุกคลีตีโมง ไม่ได้พูดไม่ได้คุย ไม่ได้ให้ความอบอุ่นเท่าที่ควร อันนี้อย่าเสียใจครับ เพราะภาระหน้าที่ของแต่ละท่านมีมาก ไม่จำเป็นอะไรที่เราจะต้องมาป้อยอกัน เพราะไม่ใช่เด็กอ่อน เป็นผู้มีอายุกาลผ่านมาแล้วขนาดนี้ ไม่ใช่เด็กครับ ผมเองถูกพระนวกต่อว่าอยู่ชุดหนึ่งว่าผมบวชอยู่นะที่นี้ไม่ได้รับความอบอุ่น ครูบาอาจารย์ไม่ให้ความอบอุ่นกับผม หมู่คณะไม่ให้ความอบอุ่นกับผม หมู่คณะไม่ได้อุปการะหรือเกี่ยวข้องให้ผมได้รับความสะดวกสบายเลย ประนามใหญ่โตครับ ผมก็บอกว่าเราเป็นสมณะไม่มีโอกาสที่จะมาคลุกคลีกันแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าพ่อของเราไม่สอน พ่อของเราสอนให้บำเพ็ญ พ่อของเราสอนให้เข้าไปอยู่ในที่สงัดสงบ ไม่ให้คลุกคลีซึ่งกันและกัน และโอกาสที่เราจะมาวุ่นวายอย่างนั้นไม่มีแล้ว คุณอย่าเข้าใจผิดซี่ เขาก็ไม่เชื่อไม่ฟัง เขาว่าเขาไม่ได้รับต่อว่าต่อขาน ผมก็ยอมรับครับ ว่าผมไม่ได้ให้ความอบอุ่นอย่างนั้นเท่าที่ควร แต่ผมก็ให้ความอบอุ่นที่สุด คือให้ธรรมะ ผมมีเมตตาอารีจิตของผมนี่ เผื่อแผ่ต่อหมู่คณะทุกท่านไม่ว่าพระใหม่ พระเก่า ไม่ว่าแม่ขาวแม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรมโดยทั่วถึงกัน ผมจะต้องมีความเมตตาอารี ส่งเสริมอยู่เสมอในทางนี้ ตลอดธรรมะปฏิบัติผมก็สอน แต่จะให้ผมสอนทุกวี่ ทุกวันนั้นไม่ได้ครับ มันไม่จำเป็นนี่ครับ ศึกษาเพื่อปฏิบัติศึกษานิดเดียวก็เข้าใจแล้ว ถ้าเราเรียนเพื่อคุยนะครับ อ๋อ..อันนั้นจำเป็น จะต้องอะไรอย่างนี้เขาต้องสอนอะไรต่ออะไรอย่างนี้เขาต้องสอนเพื่อจริงจังเหมือนกับทางด้านปริยัติที่เขาสอนกันอยู่ เราจะดูได้ เช่นอย่างเขาสอนกันทางด้านอภิธรรมนี้ ไปดูซิครับ เขาสอนกันเพื่อจะให้พูดเก่ง เพื่อจะให้คุยเก่ง คุยจูงใจ คุยอะไร แต่แล้วทั้งหมดคุณธรรมไม่มีในตัวของตัวเองนะครับ เหมือนนกสาริกาพูดภาษามนุษย์ได้ชัดแหละครับ หัวเราะเสียโอ้โหหัวเราะเหมือนกันสนุกสาน แต่แท้จริงนะครับมันไม่ได้เข้าใจนะครับ มันทำนั่นมันหมายความว่าอย่างไร จามก็เป็นนะครับ ไอก็เป็นนะครับ นกสาริกามันทำของมันเข้าท่า แต่มันรู้หรือเปล่าว่าจามมันเป็นอย่างไร ไอมันเป็นอย่างไร คนเขาจาม เขาไอ ทำไมเขาถึงไอ ถึงจาม มันไม่เข้าใจหรอกครับ มันได้ยินมันก็ว่าไปตามเสียงเฉย ๆ
            ฉันผู้ใดที่ศึกษาเพื่อคุยเพื่อพูดก็พอ ๆ กับนกสาริกาพูดภาษามนุษย์ ไม่ได้ซึ่งในธรรมะ ไม่ได้เข้าใจในธรรมะหรอกครับ พูดกันลอย ๆ โดยจำขี้ปากเขามาพูดเฉย ๆ ครับ รู้โดยสัญญาไม่ได้รู้ด้วยปัญญา ถ้าเราทำสมาธิกัน ที่ผมกล่าวมานี้นะครับ สามารถครอบคลุมจิตของตัวเองได้ดังกล่าว ปรับปรุงการเคลื่อนไหวของกายวาจาพร้อมทั้งจิตใจดังกล่าวนะครับ ความสุขอันเรียกว่าบรมสุข จะปรากฏขึ้นมา ความเข้าใจในสภาวะธรรมความเป็นจริงของโลกถูกต้อง เกิดนิธิภานิรานะคะ ต่อความเกิด เบื่อหน่ายท้อแท้ ขยะแขยง ไม่อยากเกิดต่อไปแล้วครับ เพราะเกิดมานั่งรอวันตาย

ณ ศาลาการเปรียญวัดเขาสุกิม
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๒