พระธรรมเทศนา การพิจารณาถึงความไม่เที่ยง .

การพิจารณาถึงความไม่เที่ยง .

            อยากให้พวกเรามองกันหลายทาง ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นล้วนแต่อายุของเราจะสั้นเข้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราควรคำนึงถึงความตายให้มาก เพื่อจะทำให้เรานี้ไม่ทะเยอทะยานในสิ่งที่ไม่ควรทะเยอทะยานเกินไป ควรที่จะรีบรัดกลับมาประพฤติปฏิบัติทางด้านสมาธิ เพื่อจะก้าวไปสู่มรรคผลเสีย ไม่ควรไปทะเยอทะยานในสิ่งต่าง ๆ อันที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังมาทีละครา สิ่งเหล่านั้นก็ว่ามันไม่เที่ยงอยู่แล้วว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน ก็ไม่จำเป็นจะต้องทะเยาทะยานอะไร เพราะถึงแม้จะได้มามากมายก่ายกองเท่าไร ก็ตามเถอะ ในเมื่อความตายมาถึงแล้วก็สมบัติเหล่านั้นก็กลายเป็นสมบัติของโลก เราก็ไม่ได้หอบ ไม่ได้หามไปที่ไหนหรอก นอกจากความดี และความชั่ว ซึ่งสิ่งที่เราประกอบไปแล้วปฏิเสธไม่ได้ ดีก็ดีชั่วก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ย่อมเป็นของเรา อันนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่เราจะมาคำนึงถึงข้อปฏิบัติของเรา อันที่จะเป็นผลอันแท้จริงของเราที่ติดตามตัวของเราไปนี้สำคัญกว่า บาปก็ดี บุญก็ดี ทำแล้วเราปฏิเสธลงไปไม่ได้ แต่บุญกับบาปสองอย่าง ผลจะได้แตกต่างกัน บาปเราไปประกอบในทางทุจริตในทางกาย และวาจา พร้อมทั้งใจ สิ่งเหล่านี้ปรกอบลงไปแล้วผลที่ส่งให้ต้องไปสู่ทุคติ ความดีทั้งหลายแหละที่ประกบขึ้นทางไตทวารเช่นกัน ผลส่งให้ไปสู่สุขติภพ เพราะนั้นจึงว่าความชั่ว นำพาไปทรมานทุกข์ ความดี นำพาไปสู่ความสุข มันก็แตกต่างกันอย่างนั้น หรือจะมองเห็นความแตกต่างเกิดมาเป็นมนุษย์มันก็ซิเหมือนกัน จริงอยู่เกิดมาเป็นมนุษย์มันเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกัน เราก็เห็นว่ามนุษย์มันเหมือนกันตรงไหนละที่มันเหมือน มันเหมือนเพียงแค่อาการรวม ๆ เท่านั้น ถ้าจะว่าให้พิศดารออกไปไม่เหมือนกันนี้ ถ้มันเหมือนกันทำไมถึงรู้ว่า โอ้..เสียงคนโน้น อันนี้เสียงคนนี้ แม้แต่เสียงไม่เหมือนกัน ยังรู้อันนั้นเสียงคนนั้น อันนี้เสียงคนนี้ เรายังรู้ รูปร่างลักษณะละ ถ้ามันเหมือนกันทำไมจะจำกันได้ เราจำกันได้ เพราะมันไม่เหมือนกัน ความสูง ความต่ำ ความดำ ความยาว ขี้เหร่ สวยงามเหล่านี้ เป็นต้น มันแตกต่างกันมันไม่เหมือนกัน อันสิ่งที่แตกต่างกันเหล่านี้มาจากอะไร เพราะทำความดีไม่เสมอเหมือนกัน ยิ่งหย่อนกว่ากัน อันนี้มันมีเหตุมาจากความดี ความชั่วเบื้องหลัง ที่เราประกอบมาแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามองเข้ามาในรูปอย่างนี้นั้น พวกเราก็คงจะไม่ชอบกันในสิ่งมันไม่ดี ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่มันไม่ดี เราก็ละเว้นซะสิ การประกอบดำเนินอย่างไรหละ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ กายก็อย่าไปลักทรัพย์เขาสิ อย่าไปประพฤติผิดในกามสิ อย่าไปฆ่าสัตว์สิ มันก็เป็นกายกรรม ๓ ถ้าเราไม่ประกอบมันก็เป็นกรรมสุจริต ถ้าเราประกอบมันก็เป็นกรรมทุจริต เป็นการเบียดเบียน ข่มเหงผู้อื่น ๆ วจีกรรม ๔ เราก็อย่าไปโกหกเขาสิ เราอย่าไปพูดคำหยาบสิ เราอย่าไปพูดคำเพ้อเจ้อเหลวไหลสิ เราต้องคำนึงถึงคำพูดของเราอย่าว่าเลยนะ คำพูดปดนี้ คนอื่นมาปดเรายังไม่ชอบ คนอื่นพูดคำหยาบเราฟัง เรายังเกลียด พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลเราฟังยังไม่ดีหรอก ผู้อื่นมันจะดีที่ไหนหละ เราเองไม่ชอบ เขาก็เหมือนกัน ส่วนมโนกรรม ๓ เราก็คิดเอาซิ อย่าไปเพ่งเอาของผู้อื่นซิ อย่าไปอาฆาตคนอื่นเขาซิ อย่าคิดผิดทำนองครองธรรม มันก็เป็นมโนสุจริต ถ้าเราประกอบอย่างนี้ก็เป็นมโนทุจริต บุญกุศลและบาปมันเกิดขึ้นทั้ง ๑๐ ด้าน เรียกว่ากรรมบท ๑๐ อันนี้มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราท่านทั้งหลายตั้งใจ ละเว้นในสิ่งที่มันชั่วซะ ประกอบในสิ่งที่มันดีเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิตนี้ก็เป็นของควรรีบเร่ง เป็นอุบายวิธีที่จะทำลายกิเลส เป็นอุบายวิธีที่จะทำลายภพของจิต เป็นอุบายวิธีที่จะทำให้หมดจด โดยไม่ต้องมาเกิดมาแก่ มาได้รับความทรมานอย่างปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ เราเกิดมามันมีแต่ความทุกข์ เกิดมาเบื้องต้นก็อยู่ในข้อบังคับของพ่อแม่ อันนี้ก็พยายามที่สุดที่จะเอาอกเอาใจผู้อื่นมันยาก พอโตขึ้นมาหน่อยก็เรียน ต้องเอาอกเอาใจครูบาอาจารย์ด้วย เพิ่มขึ้นมาทั้งพ่อแม่ พอสำเร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องเอาอกเอาใจเจ้านาย สูงขึ้นมาอีกก็ต้องเอาอกเอาใจผู้ที่ครองกันแล้วก็ต้องพยายามทุกวิถีทางที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องลูกเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ และการกดขี่ข่มเหงกันในโลกนี้ มันก็ละเว้นไม่ได้ มันก็ต้องมี เราไม่ทำเขาก็ทำเรา มันวุ่นวายเหลือเกิน ในเมื่อพวกเราหลับตามองแล้วมันเห็นเต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วพวกเราต้องการหรือ ถ้าไม่ต้องการแล้วถ้าพวกเราไม่ทำลายภพของจิตซะแล้ว มันจะต้องมาเกิดร่ำไป ในเมื่อมาเกิดสิ่งเหล่านี้ เราต้องเผชิญร่ำไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเราต้องการอยากจะถึงที่สุดแห่งภพซะแล้ว ก็ให้มันหมดจากสิ่งเหล่านี้ เราต้องบำเพ็ญเป็นอุบายวิธีที่เข้าไปทำบายภพของจิตโดยอย่างดี เพราะฉะนั้นก็ขอให้พวกเราดำเนินตามสูตร ที่แนะนำมาตั้งแต่เบื้องต้นโน้นหลายปีสืบมาเป็นลำดับ ก็อธิบายสู่ฟังแล้วปฏิปทาข้อปฏิบัติ อุบายวิธีที่จะให้หมดจดจากภพชาติกิเลส เป็นอุบายวิธีที่จะดำเนินให้ถูกต้องตามหลักสัมมาสมาธินั้น เราสอนกันเหลือเกินแล้ว เข้าใจกันดีแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปนั่งสมาธิเกิดกายลหุตาจิต ลหุกายเบาจิตบาง มีความสุข อานิสงส์ของสมาธิแค่นั้น ๆ ใช้ไม่ได้ นั่งลงไปแล้วเห็นผี เห็นเทวดา มาพูกันกันเรื่องผีเรื่องเทวดา นั่งไปแล้วรู้สึกว่าขนพองสยองกล้าเอามาคุยกัน เป็นคุณของสมาธินั้นพวกเราไม่นิยมการนิยมของพวกเรานั้นเป็นการเอาชนะจิตเราเอง สามารถบังคับจิตของเราอยู่ในจุดที่เป้าที่เราตั้งขึ้นมา แล้วกำหนดอยู่ในเป้า จนอำนาจส่วนสร้างขึ้นมาสมบูรณ์จริง ๆ สามารถประคองจิตของเราอยู่ในอำนาจ ส่วนบังคับจริง ๆ อยู่ในเป้าที่เราต้องการจริง ๆ จนกระทั่งที่สุด อำนาจส่วนสร้างสมบูรณ์ สามารถบังคับจิตได้อย่างเต็มที่แล้ว เราถึงจะโอปนยิกธรรมน้อมของจริงเข้ามาพิจารณาสภาพของจริงนั้นคืออะไร เราก็รู้อยู่แล้ว สภาพของความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา มันง่าย ๆ หญ้าปากคอกเอามาพิจารณาซิ จิตของเรายอมรับไหมหละ ที่เราไปเห็นเขาตายเป็นอย่างไรบ้าง ใจของเราว่าอย่างไง ไปเห็นเขาเจ็บเป็นอย่างไงบ้าง ไปเห็นเขามีทุกข์เป็นอย่างไรบ้างหละ ทุกสิ่งทุกอย่างเราพิจารณาดูเอง ตามสภาพแต่ละอย่างที่แท้จริงนั้น ใจของเรายอมไหม ในเมื่อใจของเรายอมรันจะเปลี่ยนความรู้สึกทันทีหละ ถ้าไม่ยอมก็คือ ไม่ยอม มันก็ไม่เปลี่ยน ถ้าจิตของเรายอมรับอันนี้อันอื่นต่อไปหละก็ยอมรับ ลักษณะคำว่าโลกวิทูแห่งจิตนั้น คือ รู้สภาพความเป็นจริงเหล่านี้ จึงเรียกว่าโลกวิทูแห่งจิต เออ..พรุ่งนี้คนนี้จะมา วันมะรืนคนนี้จะมา หวยจะออกตัวนั้นตัวนี้ อันนั้นไม่ใช่ทางที่จะเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เป็นแค่อภิญญาสมาบัติชนิดหนึ่ง อาจจะทำให้เรานี้หลง หรืออาจจะเป็นผีหลอกก็ได้ ไม่ใช่คุณสมบัติอันแท้จริงเป็นผลพลอยได้ เราต้องตัดทิ้ง ถ้าเราต้องการก้าวไปสู่ความสำเร็จ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราทุกท่านตั้งอกตั้งใจดำเนินขึ้นมา สร้างอำนาจส่วนที่เราสร้างขึ้นมานี้ให้สมบูรณ์ขึ้นมาเถอะ จนกว่าจะชนะกับจิตของเราอย่างสมบูรณ์แล้วนั้น การโอปนยิกธรรม น้อมสภาพความเป็นจริงเหล่านี้ มาให้จิตของเรายอมรับว่าอันนี้เป็นทุกข์ จะยอมรับว่าทุกข์ อันนี้ไม่เที่ยงคือ เห็นว่าจริง ๆ อันนี้ไม่ใช่อัตตมตัวตนเราเขาอะไรเลย เขาเหล่านี้จะต้องสลายไปตามกำลังของธาตุโลก เราก็ย่อมเห็นคนตายมันเป็นยังไง ในป่าช้าเห็นกระดูก เศษกระดูกเห็นอะไรต่ออะไรต่าง ๆ เราก็จะเอามาเป็นพยานได้ทันที จิตก็ยอมรับ เราก็เช่นนั้น ทุกวันนี้เราอยู่มันอยู่เท่านั้น ถ้าเราเกิดเข้าใจ หรือยอมรับอย่างนี้ การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจจะต้องเปลี่ยนเข้าธรรมะเรื่อย ๆ ไป สามารถที่จะมองเห็นความละเอียดของความเป็นจริงละเอียดเข้าไปเป็นลำดับ จนกระทั่งจิตไปหลงภพอย่างไร ลักษณะของภพเป็นอย่างไร จะละเอียดขึ้นเป็นลำดับ อันนี้เรื่องของเราจะต้องเห็น เราไม่ต้องการเรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องหวย เรื่องเบอร์ เรื่องอะไรไม่ต้อสนใจ เราต้องการอย่างนี้ต่างหากสำหรับของพวกเรา เพื่อจะแก้ไขความหลงของเรา หลงรัก หลงชัง ให้มันพ้นไปเสียนี้ก็มีแค่นั้น เพราะฉะนั้นก็ขอให้พวกเราผู้ปฏิบัติทั้งหลายพยายามคุยกันเฉพาะในสิ่งที่จะเป็นไปเพื่ออุบายของความหลุดพ้น เป็นไปเพื่อสมาธิจิต เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น ให้มองสภาพความเป็นจริงของโลกให้เข้าใจ ว่าทำไมเราถึงมาหลงความทุกข์ว่าเป็นสุข มันทุกข์แท้ ๆ มันสุขที่ไหนกันนี้ ทำไมไปยึดเอาความทุกข์ว่าเป็นสุข เราทำไมถึงแย่อย่างนี้ คุยกันซิ คุยขึ้นมาเรื่องจริงให้มันเข้ากัน แล้วเราจะได้เข้าใจมุมจริงของธรรมะเราจะก้าวสู่ธรรมะว่าเป็นลมวิเศษอันหนึ่ง จะต้องวิ่งเข้ามาหาตัวเราจะได้รับอย่างโน้นอย่างนี้ อันนั้นเป็นความหลง อันความหลงของมนุษย์มันหลงมาก ขอให้เข้าใจว่าสภาพของความเป็นจริงนั้นคือ ธรรมะเทศก์พรรณนาสู่ฟังนี้ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติเพียงแค่นี้

ณ อุโบสถวัดเขาสุกิม
วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๖